ฤดูร้อนในเมืองไทย เป็นอะไรที่ร้อนจนแทบไม่อยากออกไปไหน ทั้งอากาศที่ร้อนจัด ทั้งเหงื่อไหลไคลย้อย หลายคนจึงนอนแผ่อยู่บ้านทั้งที่เบื่อๆ อย่างนั้น แต่อย่าปล่อยให้ความเบื่อหน่ายครอบครองวันหยุดของคุณไปทั้งอย่างนั้น ออกไปทำกิจกรรมซะหน่อยสิ รับรองว่าคุณจะสนุกจนลืมความร้อนกันเลย!
เข้าคลาสคืนความฟิตอย่างมีชีวิตชีวา
เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟิน(ฮอร์โมนแห่งความสุข) นอกจากนี้ยังช่วยในการหลังฮอร์โมนสำหรับการเผาผลาญไขมันอย่างคอร์ติซอล เพิ่มการหลังอิพิเนฟรินและนอร์อิพริเนฟรินเพื่อช่วยในระบบไหลเวียนโลหิต และอื่นๆ สมัยนี้มีสตูดิโออกกำลังกายในร่มมากมาย ทั้งคลาสโยคะ พิลาทิส ต่อยมวยและกิจกรรมเข้าจังหวะสนุกสนานต่างๆ ทั้งเสริมสุขภาพและได้เข้าร่วมกลุ่มสังคมใหม่ๆ ผ่านการออกกำลังกายในร่ม ลองเข้าคลาสสนุกๆ อย่างที่ Ommo Studio หรือ P60 Urban boot camp ทั้งเดินทางสะดวกและมีคลาสออกกำลังกายหลากหลายเลือกช่วงเวลาได้ให้เหมาะสมกับตัวคุณ
หนีร้อนไปโต้คลื่นกลางกรุงดีกว่า
อากาศแบบนี้จะหนีไปทะเลก็ได้ แต่ถ้าเดินทางไม่ไหวมาโต้คลื่นในเมืองนี่หละอย่างการมองลองเล่นที่ Flow house ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์นี่เอง การโต้คลื่นเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตที่สนุกสนาน ตื่นเต้นและเย็นสบาย แถมยังเป็นการเตรียมพร้อมให้คุณได้ไปโต้คลื่นจริงๆ ที่ชายหาดขึ้นชื่อในการโต้คลื่นของไทยอย่าง หาดป่าตอง และหาดกะตะ จังหวัดภูเก็ตซึ่งมีนักทองเที่ยวนิยมไปเล่นโต้คลื่นกันอย่างหนาแน่นทุกปี สำหรับขาเอ็กซ์ตรีมต้องเล่นกิจกรรมนี้เท่านั้น!
นอนพักเฉยๆ ก็จอยได้เหมือนกัน ให้รางวัลกับตัวเองซะหน่อย
หากสู้ความร้อนไม่ไหวจริงๆ ร่างกายไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน ก็เพียงแค่ขยับตัวสักนิด เปลี่ยนที่นอนสักหน่อย มาลองให้หมอนวดมือดีนวดผ่อนคลายร่างกายยืดเส้น คลายความเมื่อยล้าจากกการทำงานของคุณอย่างที่ Perception blind massage เดินทางง่ายๆ ใกล้ Bts ช่องนนทรี หรือจะลองไปตรวจเชคสุขภาพร่างกายที่ Fixme Physiotherapy Clinic เพื่อดูว่าตอนนี้ร่างกายกำลังต้องการการบำบัดฟื้นฟูตรงไหนบ้าง เพราะร่างกายก็ต้องได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ให้สมบูรณ์แข็งแรงพร้อมลุยกับทุก lifestyle อยู่เสมอ
หัวหินเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อที่ใกล้กับกรุงเทพฯ เพียง 230 กิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติก็มักจะมาพักผ่อนเพราะที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งในตัวเมืองและตามธรรมชาติ วันนี้เราจึงขอนำเสนองานเทศกาลที่จะช่วยให้การไปหัวหินของคุณพิเศษยิ่งขึ้นกว่าเดิม
1. เทศกาลเก็บเกี่ยวองุ่น Hua Hin Hills Vindyard
รสชาติเปรี้ยวอมหวาน กับกลิ่นหอมของผลองุ่นสดพร้อมรับประทานกันสดๆ จากต้น เทศกาลกินองุ่นนี้จะจัดใน ช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนไปจนถึงสิ้นเดือน โดยที่ไร่องุ่น Hua Hin Hills แห่งนี้จะพาทุกท่านเข้าไปอยู่ในสวนองุ่นจริงๆ และชิมผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่นอีกมากมาย โดยมีไวน์ขึ้นชื่อย่าง “มอนซูน แวลลีย์ไวน์ (Monsoon valley wine)” และนอกจากนี้ ที่นี่ยังมีบรรยากาศที่เรียกได้ว่าโรแมนติกเป็นที่สุดแห่งนึงในหัวหินอีกด้วย
2. เทศกาลทุเรียนป่ละอู
ทุเรียนถูกกล่าวขานให้เป็นราชาแห่งผลไม้เมืองไทย ด้วยสีสัน รสชาติและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ และในหมู่ราชาผลไม้ก็ยังมีทุเรียนป่าละอูที่คอทุกเรียนต้องมาลองกันให้ได้เพราะที่นี่ใช้การปลูกแบบปลอดสารพิษ เนื้อทุเรียนที่ได้จึงหอม หวาน มัน กรอบและเนียน กว่าที่อื่น งานเทศกาลทุเรียนป่าละอูจัดขึ้นในช่วงต้นเดือน จนถึง กลางเดือนกรกฎาคม ไม่เพียงแต่ทุเรียนเท่านั้นในงานยังมีผลไม้ต่างๆ ทั้งเงาะ มังคุด กล้วย และอื่นๆ มากมาย
3. เทศกาลอาหารหัวหิน
และที่สุดของเทศกาลที่นักกินทั่วทิศต้องมารวมตัวกัน นั่นคือ เทศกาลอาหารหัวหิน งานนี้ที่รวมเอาอาหารทะเลสดๆ อาหารคาวหวานเลื่องชื่อ ไก่ย่างสูตรเด็ดและเมนูต่างๆ มากมายมาเสิร์ฟกันถึงที่ ด้วยฝีมือการปรุงจากชมรมเชฟชะอำ-หัวหิน ที่มารวมตัวกันในงานนี้เพื่อรังสรรค์เมนูรสเด็ด ให้กับทุกคนอย่างทั่วถึง งานนี้จัดในช่วงเดือนสิงหาคม ของทุกปี เตรียมท้องให้ว่างแล้วไปลุยกับของกินมากมายในงานกันเลย
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.tiewpakklang.com
กินจนพุงกางก็ถึงเวลาพักผ่อน เราขอแนะนำโรงแรมที่จะทำให้คืนพักผ่อนจากทริปการกินของคุณสมบูรณ์แบบที่สุด
โรงแรมวีรันดา หัวหิน Veranda Resort Hua Hin
บูทีครีสอร์ทติดทะเล เติมเต็มไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัวด้วยการตกแต่งที่แตกต่างผ่านศิลปะเอเชียร่วมสมัย พร้อมบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครับครัน โดดเด่นที่สุดด้วยวิวติดทะเลที่จะทำให้ช่วงเวลาชมพระอาทติย์ขึ้นหรือยามตะวันตกดินของคุณสวยงามเป็นที่สุด
เดอะร็อคหัวหิน บีชฟร้อน สปา รีสอร์ท The Rock Hua Hin Beacfront Spa Resort
ที่พักขึ้นชื่อที่มีหาดส่วนตัวของรีสอร์ท สวยงามด้วยการตกแต่งแบบทันสมัย ให้คุณได้พักผ่อนและผ่อนคลายทุกอิริยาบถเต็มที่ พร้อมกับสระว่ายภายในขนาดใหญ่ให้บริการ คุณสามารถแช่น้ำชิลๆ พร้อมกับชมวิวพาโนรามาของทะเลหัวหิน รับลมทะเลเย็นๆ และบรรยากาศห้องพักแบบส่วนตัว ที่ใครๆ ต่างก็หลงรักที่นี่
ในวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี ทุกๆ จะเข้าสู่ “วันโกหกสากล” หรือ April fool’s day ซึ่งเป็นวันที่หลายคนมักจะหากลเม็ดเด็ดพราย มากลั่นแกล้งคนใกล้ และนี่คือตัวอย่างการกลั่นแกล้งที่โหดร้ายและเล่นใหญ่ที่สุด หากจะเอาไปแกล้งเพื่อนๆ ดูบ้างก็ไม่ว่ากันนะ
1.จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อได้โนเสาร์กินเนื้อตัวเป็นๆ ออกมาเดินเพ่นพานในยามดึกแบบนี้ จะเล่นแบบนี้ได้พรอพต้องครบจริงๆ
2. มาดูโฉมหน้าของประตูที่อาจจะทำให้คนเปิดต้องหัวใจวายได้ทันที เล่นแบบนี้ก็ได้ด้วยนะ!?
https://www.youtube.com/watch?v=AHZpFkgzI4w
3. ถ้าวันนี้คุณไม่อยากออกไปแกล้งใครด้วยตัวเอง ลองใช้บริการแมงมุมยักษ์ให้ออกอาละวาดแบบนี้ดูสิ
4. การเติมความหวานให้ความรักเป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งก็ลองเปลี่ยนเป็นเติมความขมดูบ้างเล็กน้อยก็เพิ่มสีสันได้เหมือนกัน แต่คู่นี้อาจจะเล่นกันโหดมากไปนิดนะ ว่ามั๊ย?
5. การแกล้งกันเกิดขึ้นได้ แม้กระทั่งช่วงเวลาที่เครียดที่สุดอย่าง “การสัมภาษณ์งาน”
6. และมาถึงอันดับสุดท้ายกับการแกล้งที่เรียกได้ว่าอาจจะถึงขั้นเลิกคบกันเลย สำหรับการแกล้ง “เพื่อนที่ทำงาน” ด้วยการเปลี่ยนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเพื่อนๆ ให้เป็นแบบนี้ !!!
“สุโขทัย” อาจไม่ใช่จุดหมายแรกๆ ในการท่องเที่ยว ทว่าที่จริงแล้ว สุโขทัยเมืองกรุงเก่าแห่งนี้มีเรื่องราว สถานที่และธรรมชาติอีกมากมายที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน!?
การเดินทาง
เดินทางด้วยเครื่องบิน เดินทางกับ สายการบิน Bangkok Airways กับ Socialgiver ด้วยตั๋วไป-กลับ ราคาพิเศษ ที่นั่งละ 1,700 บาท(ราคาเต็ม 4,080 บาท) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
Unseen สุโขทัย เที่ยวได้ทุกฤดู
ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เหมาะให้คุณสามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดูกาล ไม่เพียงแต่โบราณสถานที่โด่งดังเท่านั้น สถานที่ Unseen ที่คุณต้องมา Seen ด้วยตัวเอง ที่แรกคือ แผ่นดินศึกสิทธิ์รูปหัวใจ ที่เกิดจากโครงการแก้มลิงตามแนวพระราชดำริ และได้มีการรวมดินจาก 843 หมู่บ้านทั่วจังหวัดสุโขไทยมาไว้ใต้มณฑป ประดิษฐาน”พระพุทธรัตนสิริสุโขทัย” หากนั่งเครื่องบินป่านจากมุมสูงเป็นต้องตกตะลึงในความงดงามของผืนดินรวมใจชาวสุโขทัยแห่งนี้
สำหรับคนรักธรรมชาติ ต้องมาเยือน “อุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย” ซึ่งประกอบด้วยป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ทั้งป่าเบญจพรรณ พร้อมน้ำตกตาดดาว-ตาดเดือน และยังมีสัตว์ป่าหาชมยากทั้ง เลียงผา อีเห็นข้างลาย เต่าปูลู และ Exclusive สุดๆ สำหรับ “คนรักนก” เพราะที่นี่มีนกอพยพในแต่ละฤดูกาลกว่า 145 ชนิด!!
นักปีนเขาทั้งหลายห้ามพลาด!
กับพื้นที่ปีนเขาที่อยากจะให้ทุกคนได้สัมผัส “เขาหลวง” ณ อุทยานแห่งชาติรามคำแหง ที่สวยงามและยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ทำให้มีพื้นที่และความอุดมสมบูณ์มาก แต่ก็ต้องแลกมากับการเดินทางที่คดเคี้ยวสุดโหด เช่นกัน เรียกได้ว่าถ้าจะไปต้องเตรียมพร้อมทั้งกายและใจเลยหละครับ
เมนูเด็ดไม่ได้ชิมเหมือนมาไม่ถึง
มาถึงสุโขทัยทั้งที ที่นี่ไม่ได้ดังเพียงเฉพาะ”ก๊วยเตี๋ยวต้มยำสุโขทัย” ฉบับต้นตำรับเท่านั้น สำหรับร้าน “ไม้กลางกรุง” ในตัวเมืองสุโขทัย เมนูข้าวเกรียกปากหม้อก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กันด้วยแป้งบางพอดี ไส้หวานมันกลมกล่อมราดหน้าด้วยกะทิข้นๆ หอมมัน ทานกันลืมอิ่ม
หรือใครกำลังลดน้ำหนักและ Eat Cleanก็ต้องแวะไปร้าน ครัวสุโข ซึ่งอยู่ในสนามบินสุโขทัย ด้วยเมนูออแกนิคสดใหม่จากฟาร์มผักอินทรีย์ จุดเดนคือเมนูสุขภาพต่างๆ ทั้งคุกกี้ธัญพืช ผักสดกับน้ำพริกและเมนูน้ำใบข้าวที่หอม อร่อยมากๆ
ค่ำนี้นอนไหนดี?
กินและเที่ยวจนเหนื่อยล้า ถึงเวลาหาที่พักผ่อนที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน เตียงนอนนุ่มและกว้าง พร้อมบรรยากาศรอบๆ ที่พักที่ร่มรื่นสงบ ทั้งหมดนี้รวมกันอยู่ที่ โรงแรมเลเจ้นด้า สุโขทัย ที่พักที่จะทำให้คุณได้เข้าไปอยู่ในหมู่บ้านแบบไทยร่วมสมัย ทั้งการตกแต่งและบรรยกาศโดยรอบของโรงแรม
ซึ่งราคาที่พักสุดอยู่ที่ คืนละ 1,690 บาท (พร้อมอาหารเช้า) สำหรับ 2 ท่าน
หรือจะเป็น เลอ ชาร์ม สุโขทัยรีสอร์ท เพราะที่นี่คือรีสอร์ทสมัยใหม่ที่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศเมืองเก่า แตกต่างอย่างลงตัวด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก สวนสวยและบ่อบัว แวดล้อมด้วยอุทยานประวัติศาสตร์โบราณ ทำให้ช่วงเวลาท่องเที่ยวของคุณเหมือนได้ดื่มด่ำไปกับเสน่ห์อันเรียบง่ายสไตล์เมืองเก่าสุโขทัย
ซึ่งราคาที่พักสุดอยู่ที่ คืนละ 1,290 บาท (พร้อมอาหารเช้า) สำหรับ 2 ท่าน
สรุปรวมค่าใช้จ่าย (ต่อคน) ค่าเดินทางและที่พัก ในทริปนี้ จะอยู่ที่ 2,400-2,600 บาทเท่านั้น
ของฝากขึ้นชื่อ ต้องซื้อติดมือทุกครั้ง
ก่อนจะกลับบ้านคงต้องมีของฝากติดไม้ติดมือซักนิด ที่สุโขทัยเองก็ขึ้นชื่อเรื่องของฝากเป็นงานหัตถกรรมต่างๆ และขนมขึ้นชื่อของที่นี่คือ ขนมเกลียว ร้านสุคนธาหรือที่รู้จักกันในนาม ขนมเกลียวครูแอ๊ว ที่ใครต่างก็ยอมรับว่ารสเด็ดจริง!
และสำหรับของฝากพรีเมียมของที่นี่อีกชนิดคือผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคต่างๆ ซึ่งปลูกจากฟาร์มเกษตรอินทรีย์และสามารถหาซื้อได้สะดวกที่สนามบิน ไม่ว่าจะเป็นข้าว ใบข้าว ชาต่างๆ นำไปเป็นของฝากให้กับทุกคน
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก : www.wongnai.com , www.pantip.com , www.wikimedia.org , www.greenshopcafe.com
อีกส่วนหนึ่งของ การเดินทาง ที่ทุกคนต่างให้ความสำคัญไม่แพ้จุดหมายปลายทางเลย ก็คือ ที่พัก เพราะเป็นส่วนสำคัญในการเตรียมกายและใจสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น แต่จะมัวนอนพักในบรรยากาศเดิมๆ คงเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้น ที่พักแบบ Camping จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
ให้ความรู้สึกผจญภัยเต็มเปี่ยม
ทุกครั้งที่ได้ตั้งแคมป์ชวนให้ภาพบรรยากาศเหมือนการเข้าค่ายลูกเสือในวัยเด็ก ทุกอย่างดูตื่นเต้น น่าสนุกและยังได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติเป็นพิเศษ ด้วยสถานที่ตั้งรวมทั้งอุปกรณ์ตั้งแคมป์ต่างๆ ที่คุณต้องจัดการเอง เหนื่อยนิดแต่สนุกมาก
มิตรภาพดีๆ รอบกองไฟ
เปลี่ยนบรรยากาศอบอ้าวให้กลายมาเป็นเวลาที่อบอุ่นกับการออกเดินทางท่องเที่ยว และหากการเดินทางไกลเป็นเรื่องน่าเบื่อ ลองหันมาแวะพักผ่อนริมแม่น้ำแควดูสิ เพราะไม่เพียงแต่เดินทางได้สะดวกโดยเดินทางจากกรุงเทพฯ เพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ที่นี่ยังมีที่พักและกิจกรรมต่างๆ ให้คุณได้เลือกทำอย่างจุใจอีกด้วย เราขอแนะนำที่พักริมน้ำสไตล์ต่างๆ …”ที่คุณต้องไปให้ได้ !”
1.สไตล์แอดแวนเจอร์ ชอบลุยๆ ต้อง โฮมพุเตย ริเวอร์แคว รีสอร์ท
ที่พักไม้สักสุดพิเศษที่ตกแต่งภายในเป็นอย่างดี หากคุณชอบการพักผ่อนแฝงความเป็นส่วนตัว ห้องพักของที่นี่สามารถเนรมิตให้คืนวันพักผ่อนของคุณกลายเป็นคืนพิเศษ เพราะนอกจากวิวมุมสูงของโค้งแม่น้ำแควแล้ว ยังมีต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น และที่โฮมพุเตย ริเวอร์แคว รีสอร์ท ยังมีกิจกรรมต่างๆ ให้ได้เล่นมากถึง 40 ฐาน เช่นไต่สะพานเชือก ล่องแพไม้ไผ่ ไต่สะพานแมงมุมและอื่นๆ พร้อมทั้ง บ่อน้ำร้อนกลางแจ้งให้ได้นอนแช่ตัวผ่อนคลายสบายๆ
2. สโลไลฟ์ให้สุด หยุดเวลาไว้ชมหมู่ดาว ที่ ริเวอร์แคว จังเกิลราฟท์
ที่พักที่ได้ขึ้นชื่อว่า “ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด” เพราะที่ ริเวอร์แคว จังเกิลราฟท์ นั้นพิถีพิถันตั้งแต่การเลือกวัสดุท้องถิ่นมาใช้ในการก่อสร้าง ด้วยบรรยากาศติดริมแม่น้ำและมีป่าไม้เป็นฉากหลัง ที่นี่จึงตอบโจทย์ของความคลาสสิค และแฝงความโรแมนติกเบาๆด้วย เพราะเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ที่นี่จะงดการใช้ไฟฟ้าและจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดแทน การพักผ่อนที่นี่จึงเป็นมุมที่มองเห็นดวงดาวได้งดงามเป็นที่สุด
3. พักผ่อนอย่างราชา ต้องมา โฟลทเฮาส์ ริเวอร์แคว
บูทีครีสอร์ทที่หรูหรามากที่สุดในแถบนี้ ด้วยห้องพักและเตียงไม้สักอย่างดีติดริมแม่น้ำ พร้อมชิงช้าไม้ให้ได้นั่งเล่นรับลมสบายๆ ที่ชานระเบียง โฟลทเฮาส์ ริเวอร์แคว นั้นมีความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์พักผ่อนแบบ Exclusive ที่ไม่ว่าจะมาท่องเที่ยว มาพักผ่อน มากินดื่ม ที่นี่ก็เตรียมไว้พร้อมสำหรับทุกท่านที่หลงไหลในการพักผ่อนแบบหรูหราผสานกับความงดงามของธรรมชาติออกมาได้อย่างลงตัว
4. รักความสันโดษท่ามกลางป่าเขา ได้ที่ ริเวอร์แคว รีโซเทล
ห้องพักแบบบังกะโลตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาและมีแม่น้ำไหลผ่าน เป็นมุมที่ถูกเนรมิตโดยธรรมชาติด้วยการแต่งแต้มผืนป่าแซมเข้ากับหินผาให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ พร้อมบังกะโลที่เป็นส่วนตัวของ ริเวอร์แคว รีโซเทล ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เงียบสงบ เมื่อเดินออกมาระเบียงจะสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติหรือจะเดินมานอนพักชิลๆ ที่ริมแม่น้ำในช่วงเย็นก็เพลินไปอีกแบบ และหากสนใจแนวแอดแวนเจอร์ก็สามารถเดินชมถ้ำหินงอกหินย้อยได้ด้วยเช่นกัน
เรื่องราวสุดแสนประทับใจของเพนกวิ้นสายพันธุ์มาเจนแลนตัวหนึ่งซึ่งโด่งดังไปทั่วโลกออนไลน์ ภาพถ่ายและเรื่องราวของมันถูกเผยแพร่ผ่านสำนักข่าว ณ กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล
….ชาวประมงชรา วัย 71 ปี โจโอ เปอเรร่า เดอ เซาซา (Joao Pereira de Souza) ได้พบเพนกวิ้นน้อยตัวหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน ในตอนนั้นเจ้าเพนกวิ้นน้อยกำลังหายใจอย่างอ่อนระทวยด้วยความเหนื่อยล้าเพราะว่ายไปติดคราบน้ำมันที่รั่วไหลในทะเล คุณลุงเซาซา จึงช่วยชีวิตมันไว้ พร้อมทั้งดูแลให้อาหารจนร่างกายของมันแข็งแรงดังเดิมพร้อมตั้งชื่อให้มันว่า “ดินดิม”(DinDim) แม้ว่าจะพยายามพาดินดิมกลับสู่ทะเลแต่มันไม่ยอมห่างจากคุณลุงเซาซา ทั้งคู่จึงกลายเป็นคู่หูที่อยู่ด้วยกันนาน 11 เดือน ก่อนที่ดินดิมจะสลัดขนและกลายเป็นเพนกวิ้นหนุ่มเต็มตัว และจากคุณลุงไป
…. ในวันหนึ่งเรื่องราวที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ ดินดิม ได้ว่ายน้ำกลับมาชายฝั่งที่เดิมและได้พบกับคุณลุงเซาซาอีกครั้ง มันรีบวิ่งเข้ามาเล่นด้วยอย่างคุ้นเคย ซึ่งคุณลุงบอกว่าดินดิมนั้นไม่ยอมให้มนุษย์คนอื่นจับหรือเล่นกับมันเลยนอกจากเขาเท่านั้น และเป็นเช่นนี้อีก 4 ปี โดยดินดิมจะมาหาคุณลุงตั้งแต่เดือนมิถุนายนเรื่อยไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งคาดว่าระยะทางที่เจ้าดินดิมว่ายน้ำจากฝูงมายังชายหาดแห่งนี้นั้นห่างกันกว่า 5,000 ไมล์ ทีเดียว
…คุณลุงเล่าว่าตัวเขาเองรักดินดิมเหมือนกับลูกชายและเชื่อว่ามันเองก็คงรักเขาไม่น้อยไปกว่ากันเลย แม้จะไม่สามารถสื่อสารกันกันด้วยภาษาหรือคำพูด แต่เรื่องราวมิตรภาพสุดซึ้งของเพนกวิ้นและชายชรานั้นก็สร้างความอบอุ่นในหัวใจให้กับทุกคนที่ได้ฟังเสมอ
ชมวิดิโอความนักรักของทั้งคู่ —->รับชมได้ที่นี่เลย<——
[:Th]
ทุกๆ วันที่ 8 มีนาคม ของทุกปี ได้ถูกกำหนดให้เป็นวันสำคัญ นั่นคือวันสตรีสากล หรือ International Women’s Day เราขอนำเสนอเรื่องราวสั้นๆ เปี่ยมแรงบันดาลใจ ของสตรีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของมหาบุรุษในโลกนี้ ดังเช่นวลีสำคัญที่กล่าวไว้ว่า
“Behind every great man, stands a great woman” – Meryll Frost
1. เบอร์ธา เบนซ์ (Bertha Benz)
เบอร์ธา เป็นสตรีที่ฉลาด สุภาพและมีคุณสมบัตริของภรรยาเต็มเปี่ยม เธอแต่งงานและเป็นภรรยาของ คาร์ล เบนซ์ (Carl Benz) ชายผู้ผลิตรถยนต์เป็นคนแรกของโลก แต่หนทางของความสำเร็จมักไม่ง่ายดายนัก โดยในช่วงที่เบนซ์กำลังลองผิดลองถูกกับการสร้างเครื่องยนต์จนเพื่อนบ้านต่างหาว่าเขาเป็นคนบ้า เบนซ์จะนำเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์แบบออกมาทดสอบในตอนเช้ามืดและเก็บตัวซ่อมแซ่มมันครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเบอร์ธา คือสตรีที่อยู่เคียงข้างเบนซ์ตลอดช่วงเวลานั้น ไม่ว่าเขาจะโดนคนครหา นินทาว่าอย่างไรแต่เธอก็ยังเชื่อมั่นในตัวเบนซ์ จนกระทั่งเขาสามารถผลิตรถยนต์คันแรกและเธอก็คือสตรีที่ได้เดินทางด้วยรถยนต์เป็นคนแรก ซึ่งถนนที่เธอใช้สัญจรนั้นวันนั้นถูกบันทึกให้เป็นถนนสายประวัติศาตร์ในชื่อ The Bertha Benz Memorial Route ในเยอรมนี
2. คอเรททาร์ สกอตต์ คิงส์ (Coretta Scott King)
คอเรททาร์ สตรีผู้อยู่เคียงข้าง มาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.) เธอฉายแววความโดดเด่นครั้งตั้งแต่ขอยกเลิกคำสาบานที่ “ภรรยาจะต้องเชื่อฟังสามี” ในวันสมรสของเธอ ซึ่งนั่นไม่ได้มีผลกระทบต่อการเป็นภรรยาที่คอยสนับสนุนและช่วยเหลือสามีเธอแต่อย่างใด ภายหลังแต่งงานเธอก้าวเข้ามาทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมของชาวอัฟริกัน-อเมริกันในประเทศอเมริกาตามความปรารถนาของคิงส์ จวบจนวาระสุดท้ายที่คิงส์ถูกลอบสังหาร คอเรททาร์ยังคงสานต่อภารกิจของสามีเธอ จนทำให้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิสตรีมากขึ้น นอกจากนี้เธอยังขยายผลไปยังองค์กรเพื่อเพศทางเลือกอื่นๆ พร้อมทั้งจัดตั้งกลุ่มเพื่อสิทธิมนุษยชนและกลุ่มต่อต้านความรุ่นแรงต่อมนุษย์ขึ้นราวๆ 800 กลุ่มทั่วโลก
3. คานาเอะ มิยาฮาระ (Kanae Miyahara)
ชื่อของนิก วูจิชิค (Nick Vujicic) คงเป็นที่คุ้นเคยกันบ้างแล้วกับชายผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลกโดยที่นิกไม่มีแม้แต่แขนหรือขา และคานาเอะก็คือภรรยาของเขา ทั้งคู่ได้เผยเรื่องราวความรักที่แสนประทับใจ ซึ่งตัวของนิกเองนั้นก็ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะมีผู้หญิงคนใดที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกับเขาแต่ คานาเอะ เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับนิก คานาเอะกล่าวว่าเธอเองก็เคยคุยกับใครหลายคน แต่สิ่งที่เธอเฝ้าตามหานั้นทั้งหมดรวมอยู่ในตัวของนิกแล้ว หลังจากแต่งงานนิกมุ่งมั่นทำงานในการเขียนและพูดสร้างแรงบันดาลใจ ส่วนคานาเอะก็เติมเต็มสิ่งต่างๆ ให้กับนิก โดยตอนนี้ทั้งคู่ก็ต้องดูแลทารกตัวน้อย สมาชิกคนใหม่ในครอบครัวไปพร้อมกันด้วย
[:]
[:Th]หากได้มีโอกาสไปเยือนหมู่เกาะสิมิลัน เราขอแนะนำ 5 วิธี ที่จะเพิ่มสีสันและทำให้ทริปครั้งนี้ของคุณน่าจดจำมากกว่าครั้งไหนๆ หากพร้อมแล้วก็ไปเริ่มกันเลย!!
– สุดยอดถ่ายภาพใต้น้ำ : กล้องถ่ายใต้น้ำคือสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของทริปนี้ เพราะภาพของธรรมชาติใต้ผืนทะเลของหมู่เกาะสิมิลันนั้นสวยงามอย่างยิ่ง ด้วยน้ำทะเลใสแจ๋วและเหล่าปลาการ์ตูน ปลานกแก้ว ปลาไหลมอร์เรย์ ปะการังสีฟ้า เต่ามะเฟือง และเพื่อนใต้น้ำอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยเติมเต็มสีสันให้ทุกภาพถ่ายของคุณ
– หาดทรายและสายลมชายฝั่ง: ลองเขียนข้อความกวนๆ ให้กับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้มากับเราอิจฉาเล่นดูสิ เพราะที่นี่นอกจากจะมีหาดทรายขาวและละเอียดจนใครๆ ก็อยากมานอนกลิ้งแล้ว ยังมีฟองคลื่นสวยๆ ที่คุณอาจจะได้เจอเต่ามะเฟือง เต่ากระและนกนานาชนิดเช่น นกอีลุ้ม นกนางแอ่นบ้านและนกอื่นๆ ที่บินอพยพย้ายถิ่นมาให้เราชม
– เรื่องกินเรื่องใหญ่ : เตรียมกระเพาะของคุณไว้จุอาหารทะเลสดๆ ใหม่ๆ จากชายฝั่งไว้ได้เลย เพราะที่เกาะสิมิลันนั้นมีอาหารทะเลให้เราได้เลือกหลากหลายและมีเมนูไก่ทอดร้านค้าสวัสดิการที่ว่ากันว่าเด็ดมากๆ แต่รสชาติอาหารที่นี่จะไม่จัดนักเพราะต้องทำให้กับชาวต่างชาติ ฉะนั้นถ้าชอบรสจัดก็สามารถบอกเชฟได้เลย เชฟก็พร้อมจัดให้ !!
– ลองเล่นเอมวีซักเพลงบนดาดฟ้าเรือ : จะมาคนเดียว มากับเพื่อนหรือมากับแฟน ดาดฟ้าเรือก็พร้อมให้บริการ โดยคุณสามารถสัมผัสสายลมและวิวคลื่นทะเลสุดลูกหูลูกตาที่จากทีนี่ พร้อมกันนั้นลองนึกเพลงโปรดสักเพลงที่ชอบ แล้วกดอัดวิดิโอไว้ไปประกอบเป็น MV เพลงๆ นั้นในแบบของคุณได้เลยรับรองว่าเจ๋งสุดๆ
– แบ่งปันประสบการณ์ให้โลกรับรู้ : ทุกการเดินทางย่อมควรค่าแก่การจดจำและเกาะสิมิลันแห่งนี้ก็สวยงามมากพอที่จะให้คุณได้เอาไปบันทึกเป็นเรื่องราวให้กับเพื่อนๆ บน Facebook หรือ Blog ส่วนตัว ให้พวกเขาได้ติดตามการเดินทาง ภาพและ MV ของคุณ เชื่อสิว่าเขาจะต้องชอบมันแน่ๆ
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://similanstour.com/
[:]
“เมื่อความต้องการพิเศษ…นำมาซึ่งสายสัมพันธ์ที่พิเศษกว่าของคนในครอบครัว”
…..เรื่องราวของคุณล้วนและน้องซันซัน ผู้รับการบำบัดด้วยศาสตร์วอยต้าและมุมมองของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
” ค่ะ ก็ประกอบธุรกิจส่วนตัวมาก่อน ตอนที่มีน้องและรู้ว่าน้องเป็นเด็กพิเศษก็พยายามหาวิธีรักษาต่างๆ เท่าที่หาได้ อย่างแรกเลยคือน้องซันซันมีพัฒนาการช้า ยังชันคอไม่ได้ตามเกณฑ์อายุ ช่วงนั้นใครบอกที่ไหนดี ที่ไหนได้ผลเราไปมาหมด…แต่ก็ยังไม่ได้ผลกับน้องเท่าไหร่ กระทั่งได้พบคุณวอลเตอร์ ลี(ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ซาย มูฟเม้นท์) จึงติดต่อขอคำแนะนำและเริ่มการบำบัดด้วยวอยต้าค่ะ ”
> ช่วยเล่าความท้าทายในฐานะของคนเป็นแม่และดูแลน้องเป็นอย่างไร
” ในตอนนั้นกังวลมาก ไม่รู้ว่าอาการของลูกเราเป็นอะไรบ้าง จะเป็นเท่านี้หรือจะหนักไปมากกว่านี้ แล้วยังมีอาการที่มาพบภายหลัง อย่าง ซันซันมีอาการ Facial Palsy คือน้องกะพริบตาไม่ได้ เราก็ต้องดูแลใกล้ชิดมากกว่าเดิม หากไม่ดูแลน้องอาจถึงขั้นตาบอด ซันซันมีอาการหลายอย่างต้องดูแลหลายส่วน ตัวเราเองก็อยากให้น้องดีขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ยากมากคือการตัดสินใจว่าจะรักษาน้องแบบไหน เพราะไปแต่ละที่ก็รักษาต่างกัน อย่างตอนที่มาคลินิค วอยต้า หมอก็บอกให้เราหยุดรักษาแบบอื่นและมาเริ่มต้นใหม่เลย ตอนนั้นนับว่าเสี่ยงและตัดสินใจยากมากๆ ค่ะ”
> แล้วช่วงนั้นตัดสินใจบำบัดแบบวอยต้าแล้ว เป็นอย่างไร?
” น้องซันซันมีกลุ่มอาการ Mobius Syndrome คือมีอาการซ้อนกันหลายอย่าง ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าทำงานได้ไม่เต็มที่ และยังมีปัญหากับระบบประสาทดวงตาและการทรงตัวต่างๆ ร่วมกัน แต่พอได้ลองมาบำบัดวอยต้า น้องมีอาการดีขึ้นมาก น้องให้ความร่วมมือในการบำบัดอย่างดี ทำให้เราแม่ลูกได้ใช้เวลาด้วยกัน อย่างการฝึกภาษามือก็เริ่มต้นเรียนไปด้วยกันค่ะ”
> ในเวลานั้น มูลนิธิ ซาย มูฟเม้นท์ ให้ความช่วยเหลือและดูแลอย่างไรบ้าง?
“มูลนิธิ ซาย มูฟเม้นท์ ช่วยได้เยอะมาก อย่างการที่เรามีซันซันก็ทำให้พี่เปลี่ยนมุมมองนะ รับรู้ได้ว่าทุกคนยินดีช่วยเหลือเรา มันเป็นพลังบวกที่ส่งต่อกันเป็นทอดๆ ทั้งกับกลุ่มผู้ปกครองเด็กพิเศษหรือกับกลุ่มอาสาสมัครที่มาช่วย”
> วิธีการบำบัดแบบวอยต้าได้ผลลัพธ์อย่างไรกับน้องซันซัน?
” เทียบกับวิธีอื่นที่เคยใช้มา พี่ว่า วอยต้า ทำให้เห็นพัฒนาการของซันซันที่ดีขึ้นมาก แต่เราก็ต้องมีวินัยและใช้เวลาในการบำบัดเหมือนกัน อย่างตอนที่บำบัดจนน้องนั่งได้นี่ใช้เวลา 1 ปีเลยนะ จากแต่ก่อนที่น้องชันคอยังไม่ได้จนน้องมานั่งได้ คนเป็นแม่ก็ดีใจที่ได้เห็นลูกเราดีขึ้น จุดเด่นของตัววอยต้าอยู่ที่การใช้ “มือและหัวใจ” นักกายภาพบำบัดจะสอนวิธีบำบัดให้ผู้ปกครองแล้วเราก็ต้องทำหน้าที่บำบัดระหว่างที่จะมาหานักบำบัดอีกครั้ง พอเรากดบำบัดร่างกายน้องก็จะเป็นการกระตุ้นระบบประสาทให้จดจำไปพร้อมกัน ทำให้น้องสามารถเคลื่อนไหวตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ”
> คุณล้วนมีคำแนะนำหรืออยากฝากอะไรถึงผู้ปกครองที่มีน้องเป็นเด็กพิเศษบ้าง?
” อย่างแรกเลยคือผู้ปกครองต้องไม่เปรียบเทียบ ไม่เทียบก็ไม่ทุกข์ ลูกเราเป็นแบบนี้ เราอยากให้เขาเติบโตไปในทิศทางไหนก็กำหนดให้ชัดเจน แล้วค่อยๆ ทำไปตามทางนั้น มองในอีกมุมว่าอย่างน้อยน้องก็ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่หนีเราไปไหน ทำให้เกิดความสุขอีกแบบ เราก็ได้เติบโตไปพร้อมกับลูก ถ้าเราหยุด ก็เท่ากับว่าเขาหยุดที่จะเติบโตเช่นกัน สำคัญที่สุด “เด็กไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองด้อย ถ้าเราไม่ทำให้เขารู้สึกด้อย” ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ส่งต่อกันได้ ถ้าคนเป็นพ่อ เป็นแม่ยังรับลูกตัวเองไม่ได้ แล้วใครจะรับได้ ภูมิใจในสิ่งที่ลูกเป็นและทำให้เขามีความสุขมากที่สุดค่ะ”
Socialgiver ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆ และการแบ่งปันประสบการณ์จาก คุณล้วน (คุณกรวรา อัศวลาภนิรันดร) คุณแม่ของน้องซันซัน และ ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการมูลนิธิ ซาย มูฟเม้นท์
วอยต้า (Vojta) ศาสตร์บำบัดทางเลือก ความหวังใหม่สำหรับเด็กและผู้มีปัญหาในการเคลื่อนไหว
> การบำบัดแบบวอยต้า (Vojta Therapy) คืออะไร?
ในการเรียนการบำบัดวอยต้ามีรายละเอียดเยอะค่ะ คนที่เรียนได้จะต้องเป็นนักกายภาพบำบัดและมีประสบการณ์ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งการบำบัดนี้จะมีการวาง Pattern ให้ร่างกายเกิดการเรียนรู้ในการเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ ให้ร่างกายสามารถจดจำรูปแบบของการเคลื่อนไหวได้ เมื่อร่างกายและระบบประสาทเรียนรู้แล้ว อย่างเด็กที่มีปัญหาการเคลื่อนไหว เด็กจะสามารถอยู่ในท่าทางนั้นๆ ได้อย่างอัตโนมัติค่ะ แต่ในช่วงการบำบัดแรกๆ เด็กอาจยังไม่เข้าใจ อาจมีการกลัวและเกิดร้องไห้ได้ ซึ่งต้องอธิบายว่าการบำบัดนี้ไม่ใช่การทำให้เด็กเจ็บแต่แค่ทำให้กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ทำงานเกิด Reflex เท่านั้น
> ในการบำบัดแต่ละสัปดาห์ ต้องคอยฝึกย้ำๆ หรือเปลี่ยนท่าทางในการบำบัดเลย?
จริงๆ การรักษาด้วยวิธีนี้ เราต้องมีการประเมินทุกครั้งก่อนรักษา ถ้าหากมีปัญหา ต้องดูว่าเป็นปัญหาส่วนไหน วิเคราะห์เป็นส่วนๆ ไปเลย เช่นว่า ณ ตอนนี้ยังเป็นปัญหาเดิมอยู่ก็อาจต้องใช้ท่าเดิมค่ะ แต่ถ้าไม่มีปัญหาเดิมแล้วก็เปลี่ยนท่าได้ ศาสตร์วอยต้ามีท่าทางสำหรับกดบำบัดเยอะนะ นับดูก็มากกว่า 12 ท่าเลยค่ะ โดยแต่ละท่าก็จะมีรายละเอียดในการใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยเน้นการทำงานของร่างกายร่วมกัน ไม่ใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง อย่างเด็กจะชันคอก็ต้องให้เด็กฝึกกล้ามเนื้อช่วงตัว กล้ามเนื้ออกและช่วงคอด้วย เขาถึงจะสามารถชันคอขึ้นมาได้ เป็นต้น
> ช่วยเล่าตัวอย่างของน้องที่บำบัดด้วยวอยต้าแล้วได้ผล แล้วน้องเป็นอย่างไรบ้าง?
จะมีเคสนึงที่ฝึกตั้งแต่กบเริ่มวอยต้าทำจนถึงปัจจุบัน ก็สองสามปีแล้ว พอได้ทำแล้วน้องเห็นผล คือน้องสามารถขยับและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็ให้ความร่วมมือในการทำการบำบัดร่วมกับเรา จากที่น้องเดินไม่ได้เลย จนตอนนี้สามารถเดินไปไหนมาไหนเองได้แล้ว สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเองค่ะ กบว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากๆ ทั้งเรา ทั้งครอบครัวน้องก็ดีใจที่ได้เห็นพัฒนาการตรงนี้
>การบำบัดวอยต้าใช้เวลาเท่าไหร่ที่ร่างกายของผู้บำบัดถึงจะจดจำการเคลื่อนไหวได้?
ผลลัพธ์ก็ขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายนะคะ เพราะนักบำบัดก็ทำได้ส่วนหนึ่ง ผู้ปกครองต้องให้ความร่วมมือในการกดและบำบัดต่อเมื่ออยู่บ้าน ถ้าไม่ทำเลยมันก็ไม่เห็นผล และอีกอย่างคือตัวน้องเองก็ต้องพยายามด้วย หากเด็กเข้าใจและสามารถช่วยเหลือผู้ปกครองได้เพิ่ม ก็จะยิ่งส่งผลดีมาก อย่างน้องบางคนบอกผู้ปกครองได้เลยนะว่ากดผิด กดตรงนี้แล้วไม่รู้สึกให้เปลี่ยนตำแหน่ง อะไรแบบนี้ค่ะ ถ้าถามว่านานแค่ไหนก็ต้องอยู่ที่ว่าการบำบัดนั้นเสถียรหรือยัง ซึ่งใช้เวลาแต่ละเคสไม่เท่ากัน คำว่าเสถียรนี้คือทำแล้ว น้องไม่กลับไปจุดเดิมอีกแม้จะไม่ได้บำบัดต่อ ถ้าทำถึงจุดที่น้องไม่ต้องมาคอยกระตุ้นซ้ำเมื่อไหร่ นั่นก็แปลว่าร่างกายน้องจดจำการเคลื่อนไหวได้แล้วค่ะ
>ถ้ามีนักบำบัดวอยต้าเพิ่มขึ้น จะดีมากน้อยแค่ไหน?
จริงๆ อยากให้ทุกคนได้รับรู้นะ วอยต้าไม่ได้มีประโยชน์แค่กับเด็ก ศาสตร์นี้ใช้ได้กับคนทุกวัย เพราะคนที่คิดเป็นหมอระบบประสาท จึงสามารถใช้วอยต้าแก้ได้ทั้งระบบประสาทและระบบกล้ามเนื้อ คือสามารถทำได้และช่วยให้คนไข้ประหยัดเพราะใช้อุปกรณ์ไม่มาก คนไข้เข้าถึงการรักษาเพิ่มมากขึ้น ถ้ามีเยอะก็ดี ซึ่งตอนนี้นักบำบัดวอยต้ารุ่นนึง มี 25 คน ก็อยากให้มีการเปิดอบรมเพิ่มค่ะ
Socialgiver ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆ และการแบ่งปันประสบการณ์จาก คุณกบ (คุณวันทนี ทองผิว) นักกายภาพบำบัดจากคลินิควอยต้าแห่งแรกในประเทศไทยที่สถาบันราชานุกูล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Zy Movement Foundation ให้ได้รับการอบรมที่ประเทศเยอรมันนีในปี 2558
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการ Zy Movement ที่ http://bit.ly/2fyKLxW
“IKIGAI” – The Japanese secret to a long and happy life
หลายคนที่ประสบความสำเร็จนั้นมักจะรักในสิ่งที่ตัวของเค้าทำ อยากเรียนรู้และทำให้ดีขึ้นในทุกๆวัน
แมัว่าจะมีความเครียดบ้างแต่เป็นความเครียดเพื่อเป็นแรงผลักดันให้หาวิธีการเดินไปข้างหน้า ไปยังเป้าหมายใหม่ๆ ที่สนุกขึ้นท้าทายขึ้น
.
IKIGAI (อิคิไก) คือ ศาสตร์ที่ช่วยไขข้อข้องใจว่าเหตุผลในการตื่นมาใช้ชีวิตของเราในทุกๆ วัน นั้น คืออะไร หรืออีกนัยยะคือความหมายในการมีชีวิตอยู่นั่นเอง ซึ่ง IKIGAI นี้เป็นสิ่งซ่อนอยู่ภายในตัวเรา ซึ่งต้องใช้ความพยายามและความอดทนในการค้นหามันให้เจอ
.
และนี่เป็น กฎ 10 ข้อของ IKIGAI ศิลปะในการใช้ชีวิตที่ Socialgiver อยากจะแบ่งปันให้ทุกท่านได้ร่วมค้นหาไปด้วยกัน
1) Stay active; don’t retire กระตือรือร้นกับชีวิตแบบไม่มีวันเกษียณ
เรียนรู้และตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ต่างๆ ในโลก รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่าต่อชีวิตตนเอง ทำหน้าที่ตนเองให้ดีที่สุด มีความก้าวหน้าทุกๆวัน และชื่นชมสิ่งดีๆ รอบตัว
2) Take it slow ทำอะไรให้ช้าลง
เอ๊ะ!! อย่าเพิ่งงง ว่าขัดกับข้อแรกมั๊ย ที่จริงแล้วคือการคิดใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ก่อนลงมือทำ มีวิสัยทัศน์และแผนงานที่ดีก่อน ว่าหากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้นบ้าง ไม่ใช่กระตือรือร้นจนลนแบบทำอะไรรีบๆ ไม่ได้มองภาพใหญ่ระยะยาว
3) Don’t fill your stomach อย่ากินให้อิ่มเกินไป
หากอยากมีสุขภาพดี อายุยืน ต้องใช้กฎ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เรียกว่า hara hachibu คือให้หยุดกินทันทีเมื่อรู้สึกอิ่มแล้ว หรือคิดเป็นปริมาณ 1,200 – 1,500 แคลเลอรีต่อวันเท่านั้น โดยเน้นอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นกลุ่มผักและผลไม้สดทั่วๆ ไป
4) Surrounding yourself with good friends แวดล้อมด้วยเพื่อนดีๆ
เพื่อนคือยาที่ดีที่สุด การได้รับฟัง พูดคุย แบ่งปันทุกข์สุขกันกับเพื่อนๆ ให้คำแนะนำกันบ้าง หัวเราะขำขันกันบ้าง ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง ทำให้ชีวิตของเรามีชีวาขึ้นทุกๆ วัน ซึ่งจากงานวิจัยหลายที่ต่างให้ข้อมูลตรงกันว่า ความสัมพันธ์ที่ดี นำไปสู่สุขภาพจิตที่ดีและทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายนั้นดีขึ้นอีกด้วย
5) Get in shape for your next birthday ฟิตร่างกายให้ดีต้อนรับวันเกิดปีหน้า
ร่างกายก็ต้องการได้รับการดูแลบำรุงรักษา คล้ายเครื่องยนต์ที่หากใช้งานทุกวันก็ต้องเสื่อมไปบ้างเป็นธรรมดา การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วยังผลิตฮอร์โมนเพื่อช่วยทำให้เรามีความสุขอีกด้วย
6) Smile ยิ้มเข้าไว้
การยิ้มทำให้จิตใจผ่อนคลายแล้วยังช่วยทำให้เรามีเพื่อนเพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ เพราะกลไกทางจิตใจเรามีระบบจดจำความรู้สึกอัตโนมัติ (Facial expression effect) ที่ทำให้เรารับรู้ว่าหากเรายิ้ม อารมณ์เราจะดีขึ้น
7) Reconnect with nature เชื่อมต่อกับธรรมชาติ
เดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนตามแหล่งธรรมชาติต่างๆ เช่น ทะเล ภูเขา น้ำตก เพื่อชาร์ตแบตเตอรี่เพิ่มพลังงานให้ตัวเองอยู่เสมอๆ เพราะเราต่างเชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและโลกใบนี้ การได้รับออกซิเจนที่มากพอ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ คือความสุขโดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน
8) Give thanks ขอบคุณในสิ่งที่เรามี
ความรู้สึกขอบคุณและกตัญญูต่อบุคคลและสิ่งต่างๆ เริ่มตั้งแต่บรรพบุรุษ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อาหาร และสิ่งที่เรามี จะทำให้เรารู้สึกโชคดีที่ได้มีชีวิตอยู่และจะยิ่งเพิ่มพูนความสุขให้เราในทุกๆ วัน
9) Live the moment อยู่กับปัจจุบันขณะ
หยุดเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและกลัวหรือกังวลสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต “วันนี้” และ “ขณะนี้” คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคุณ!! ใช้มันให้ดีที่สุดให้เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าและน่าจดจำ เพราะว่าเวลาเป็นสิ่งที่ผ่านมาและผ่านเลยไป เอาคืนไม่ได้และหาเพิ่มก็ไม่ได้เช่นกัน
10) Follow your IKIGAI จงออกตามหา IKIGAI ของคุณ !
มนุษย์ทุกคนมีความรักความหลงใหลและพรสวรรค์บางอย่างอยู่ในตัวเรา ที่จะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความหมายในทุกๆ วัน และขับเคลื่อนชีวิตเราไปข้างหน้าจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต หากคุณยังหา IKIGAI ของคุณไม่เจอก็ไม่เป็นไร ภารกิจของคุณก็คือ “ออกตามหามันซะ!!”
ที่มา World Economic Forum
กระแส Social Enterprise หรือ กิจการเพื่อสังคมในขณะนี้กำลังมาแรงสุดๆ ด้วยรูปแบบธุรกิจที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพสินค้าและการช่วยเหลือสังคมในเวลาเดียวกัน เพื่อไม่ให้เป็นการตกเทรนด์ เราจึงขอพาคุณไปทำความรู้จักกับกิจการเพื่อสังคมรุ่นใหม่ไฟแรงที่จะช่วยให้คุณได้เป็นผู้นำเทรนด์ในการใช้จ่ายออนไลน์และช่วยเหลือสังคมไปพร้อมๆ กันครับ
Siam organic ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
บริษัทผลิตสินค้าออร์แกนิคเกรดพิเศษในชื่อ Jasberry โดยปราศจากการ GMO หรือสารเคมีในการผลิต ซึ่งมีการส่งเสริมให้เกษตรกรท้องถิ่นในภาคอีสานให้มีรายได้จากการทำการเกษตรอินทรีย์อย่างถูกวิธีไปพร้อมกับการเติบโตของแบรนด์ กิจการเพื่อสังคมที่ดูแลส่งเสริมกันทั้งฝั่งผู้บิรโภคและเกษตรกรอย่างยั่งยืนแท้จริง ชมตัวอย่างสินค้าและเรื่องราวของ Siam organic เพียงกดอ่านรายละเอียดตรงนี้ได้เลย
Bright Sprout โครงการต้นกล้าสดใส ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
หนึ่งในกิจการที่ได้รับรางวัลจากโครงการ “กล้าใหม่…สร้างสรรค์ชุมชน ปี 9 ” โดย SCB Challenge ซึ่งน้องๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลล้านนา ลำปาง ที่ออกแบบแปลงผักและช่วยเหลือผู้พิการให้สามารถสร้างรายได้และนำไปขายเป็นผักปลอดสารพิษ ส่งเสริมอาชีพและสร้างตลาดแรงงานให้กับผู้พิการทางสายตาให้สามรถทำงานและสร้างรายได้ด้วยตนเอง มารับชมวิดิโอบอกเล่าเรื่องราวเจ๋งๆ กันเถอะ
Globish Academia ธุรกิจด้านการศึกษา
Globish Academia ธุรกิจด้านการศึกษา Startup สอนภาษาอังกฤษด้วยอาจารย์ชาวต่างชาติ ผ่านระบบ internet ด้วยโปรแกรมวิดิโอคอลอย่าง Appear.in โดยให้ผู้เรียนสามารถลงเวลาเรียนเองได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เน้นฝึกด้านการฟังและการพูดโดยเฉพาะ และสิ่งที่ยิ่งน่าสนใจคือทาง Globish Academia ได้ทำโครงการเปิดโอกาสให้กับผู้พิการให้ได้เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปสร้างโอกาสในการทำงาน ด้วยระบบการเรียนออนไลน์ที่ไม่ต้องเดินทาง สามารถเรียนได้ที่บ้าน รวมถึงค่าเรียนที่ไม่แพงและมีภาครัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย ทำให้ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาในกลุ่มผู้พิการ เพิ่มโอกาสและความสามารถในการทำงานของผู้พิการ ถ้าสนใจฝึกพูดภาษาอังกฤษออนไลน์กับ Startup ใจดีอย่าง Globish Academia ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ได้เลย
Folkrice ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
จากความตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรไทยและรักษาพันธุ์ข้าวท้องถิ่น ของคนหนุ่มไฟแรงอย่างคุณ อนุกุล ทรายเพชร ได้พัฒนาแพลตฟอร์มและแอพพลิเคชั่นสำหรับเชื่อมต่อผู้บริโภคและชาวนาที่เป็นผู้ผลิตโดยตรง โดยผู้บริโภคสามารถเลือกชนิดและพันธุ์ข้าวท้องถิ่นได้ตามต้องการในราคาที่ยุติธรรมกับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อให้ชาวนาสามารถคงพันธุ์ข้าวที่หลากหลายและมีคุณภาพให้กับตลาด อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่นี่ และดาวน์โหลด application: Folkrice ได้ทั้งระบบ iOS และ Android แล้ว
Hivester ธุรกิจด้านท่องเที่ยว
กิจการเพื่อสังคมที่ช่วยชุบชีวิตให้ชุมชนกลับคืนมาอีกครั้ง จากการพยายามฟื้นฟูวิถีท่องถิ่นในชุมชนนั้นๆ อย่างการทำขนมไทย ทำบาตรพระหรือการรำชาตรีที่ค่อยๆ สูญหายไปตามกาลเวลา Hivester(ไฮวฟ์สเตอร์) จึงผลักดันเศรษฐกิจในชุมชนผ่านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีทริปให้ลงไปสัมผัสความเป็นอยู่ ธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวบ้านพร้อมกระจายรายได้ให้กับชุมชนเพื่อเกิดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่สนุกสนานตลอดทริป สนใจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เข้าไปได้เลย
Once again hostel ธุรกิจโรงแรมและที่พัก
ที่พักนักเดินทางที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่า ไม่ไกลจากชุมชนท้องถิ่นที่ยังมีชีวิตชีวา โฮสเทลแห่งนี้ดำเนินการภายใต้แนวคิดธุรกิจเกื้อกูล (Inclusive Business) โดยไม่ทำธุรกิจซ้อนทับกับธุรกิจที่มีอยู่แล้วในชุมชน แต่ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สร้างอาชีพให้แก่คนในชุมชนใกล้เคียง เริ่มจากชุมชนวังกรมพระสมมตอมรพันธ์ ชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนบ้านบาตรและชุมชนนางเลิ้ง ร่วมมือกับชาวบ้านพัฒนาชุมชน มีโฮสเทลเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ทั้งสมาชิกชุมชน นักเดินทางและโฮสเทล ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวร่วมกัน ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่
Local alike ธุรกิจด้านท่องเที่ยว
หนึ่งใน Start up ที่มาแรงมากๆ ด้วยการผนวกการท่องเที่ยเชิงอนุรักษ์เข้ากับการจัดทริปและพัฒนาความเป็นอยู่ของช้าวบ้านในพื้นที่ชุมชน Local alike ได้สร้างเครือข่ายชุมชันและนำพานักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชาวบ้านทั้งการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ กิจกรรมและงานฝีมือต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ผ่านความร่วมมือของชาวบ้าน ให้เกิดเป็นการท่องเที่ยวแบบ Community based ที่ได้ประโยชน์ทั้งชุมชน นักท่องเที่ยวและโครงการที่พัฒนาชุมชนนั้นๆ ติดตามการพัฒนาชุมชนท่องเที่ยวแบบใหม่ได้ที่นี่เลย
Socialgiver ธุรกิจด้านท่องเที่ยว
ปิดท้ายด้วย Socialgiver พื้นที่ออนไลน์มอบประสบการณ์ท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ โดยนำกำไรจากบัตรของขวัญทั้งหมดไปมอบให้โครงการเพื่อสังคมกว่า 15 โครงการที่ร่วมระดมทุน ให้เกิด “การท่องเที่ยวเพื่อสังคม” สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายทั้งธุรกิจ ผู้บริโภคและภาคสังคม ด้วยความตั้งใจในการสร้าง Giving ecosystem ให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างยั่งยืนผ่านการนำเสนอเรื่องราวของโครงการต่างๆ ด้วยสื่ออนไลน์และแนะนำบัตรของขวัญบนเวปไซต์ให้ได้เลือกกันอย่างจุใจมากกว่า 60 ใบ สามารถเลือกบัตรของขวัญดีๆ และติดตามโครงการที่สนใจได้ง่ายๆ ตรงนี้
Credit: เนื้อหา : www.asiaforgood.com/
ภาพประกอบ : www.siamorganic.net , www.globish.co.th , www.folkrice.com , www.hivesters.com , www.onceagainhostel.com , www.localalike.com
นอกจากอากาศที่ร้อนขึ้นแล้ว Climate Change ยังเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมาย ในปี 2018 โลกสูญเสีย 6.7 ล้านล้านบาท โดยมีคนกว่า 60 ล้านคนรับผลกระทบจากภัยพิบัติเหล่านั้น…
วิธีการลงทะเบียนเพื่อขอรับรองมาตรฐานจาก SHA ก็ไม่ได้ยากเลย แต่หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน ก็มาเริ่มไปกับ Socialgiver ผ่านบทความนี้ได้เลย…
คนแบบไหนกันที่มาทำธุรกิจเป็นเจ้าของปางช้าง? อะไรเป็นแรงบันดาลใจของเขา? และอะไรที่เขาต้องการจากการทำธุรกิจนี้?
เราไม่รู้ว่าปางช้างอื่นๆเป็นมายังไง แต่ที่ Elephant Nature Park ปางช้างที่ได้ฉายาว่า “สวรรค์ของช้าง” มีจุดเริ่มต้น และ มีคำตอบของทุกคำถามด้านบน เป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งนั่นคือ “ความรัก”
เป็นความรักของคุณเล็ก หรือ “แม่เล็ก” ของทุกคนในปางช้าง (และของลูกช้างทุกเชือกในปางด้วย) กับหัวใจดวงใหญ่ที่มีให้กับช้าง ที่บาดเจ็บ พิการ จากการถูกใช้งานอย่างทรมาน
เมื่อทนเห็นความทรมานเหล่านี้ไม่ได้ คุณเล็กจึงจัดตั้งมูลนิธิ Save Elephant ขึ้นมาช่วยเหลือช้างบาดเจ็บ และพัฒนาที่ดินที่หาซื้อมาได้ให้เป็นเหมือนบ้านพักของช้าง
ปัจจุบัน บ้านพักฟื้นของช้างพิการและบาดเจ็บ หลังนั้น ก็กลายมาเป็น Elephant Nature Park มีช้างบาดเจ็บและพิการที่ได้รับการรักษาจนสุขภาพแข็งแรง (แต่ความพิการ หรือบาดเจ็บค่อนข้างรุนแรงและถาวร ทำให้ถึงแม้จะหายดีแล้วก็ยังคงมีความผิดปกติ เช่น ตาบอด ขากุดเพราะถูกกับระเบิด กระดูกงอถาวร เป็นต้น) และได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษาวิถีชีวิตของช้าง ทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เป็นการใช้แรงงานช้าง เช่น ป้อนอาหารหรืออาบน้ำให้ช้าง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอาสาสำหรับช่วยดูแลช้าง เช่น ปั้นอาหารให้ช้างแก่ รักษาพยาบาลช้าง เป็นต้น
ภาพที่เห็นได้ทั่วไปในปางช้าง Elephant Nature Park แห่งนี้ คือภาพช้างเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยหุบเขา และมีกลุ่มคนที่เป็นนักท่องเที่ยวและอาสาสมัครเดินตาม เมื่อช้างหยุด กลุ่มคนก็หยุด บางคนพยายามเซลฟี่กับช้าง รูปจะสวยหรือไม่ก็ขึ้นกับว่าเจ้าช้างเชือกนั้นอารมณ์ดีหรือเปล่า บางทีก็ได้ป้อนอาหารช้าง แต่เมื่อช้างอิ่มและออกเดินต่อ กลุ่มคนเหล่านั้นต้องหยุดกิจกรรมป้อนอาหาร และออกเดินตามช้างต่อไป
ที่นี่ ช้าง คือศูนย์กลาง และปรัชญาของการเที่ยวที่ Elephant Nature Park คือการเข้าไปศึกษาชีวิตของช้าง เข้าไปรู้จักช้างในสิ่งที่พวกเขาเป็น ไม่มีการทำกิจกรรมที่มนุษย์บังคับช้าง เช่นการขี่ช้าง หรือการแสดงความสามารถแปลกๆ ของช้างที่ถูกมนุษย์ฝึกมา
แม้กระทั่งควาญช้าง ก็ยังไม่มีอุปกรณ์บังคับช้าง
การดูแลช้างที่นี่ ใช้ควาญช้าง 1 คนดูแลช้างประจำตัว 1 ตัว ภาพควาญช้างที่เราคุ้นเคยคือควาญขี่ช้าง แต่ที่นี่กลับเป็นภาพควาญช้างเดินตามช้าง เรียกว่าช้างอยากไปไหน ควาญช้างก็ต้องตามไป ตอนเย็นก็ต้องต้อนช้างเข้าคอก
ถามว่าถ้าช้างไม่ยอมไปเข้าคอก ทำยังไง?
คำตอบคือ
“รอ ต้องรอ นั่งรอ ยืนรอ จนกว่าคุณช้างจะอยากกลับเข้าบ้านไปเอง”
ความรักของคุณเล็กไม่หยุดแค่ช้าง ตอนนี้ ปางช้างจึงไม่ได้มีแค่ช้างบาดเจ็บ แต่มีควายที่ถูกช่วยมาจากการไถ่ชีวิต สุนัขพิการ ตาบอดบ้าง เหลือสองขาบ้าง สามขาบ้าง ม้าแก่เกษียรอายุที่ไม่มีใครต้องการแล้ว สัตว์ทุกอย่างที่ต้องการที่พักพิงเมื่อเจ้านายผู้ใช้งานเห็นว่าพวกมันหมดคุณค่า
ที่นี่ เมื่อเริ่มจากความรัก จึงเติบโตด้วยความรัก ดึงดูดผู้ที่มีความรักให้มาเยือน ไม่ว่าจะเป็นรักสัตว์ หรือรักคนด้วยกัน เพราะขนาดคู่รัก ข้าวใหม่ปลามัน ยังมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ Honey Moon กันที่นี่เลย คิดดู
สงสัยฝ่ายที่เป็นคนเลือกสถานที่คงอยากจะบอกกับคู่ชีวิตว่า “ฉันรักคุณมากเท่าช้างเลยนะ!”
อยากมาพิสูจน์รักแบบช้างๆ ต้องมาให้ได้ เพราะไม่ใช่แค่ความรักของคนต่อช้าง แต่ที่นี่ยังบอกเล่าเรื่องราวความรักของช้างต่อช้างในระดับชีวิตก็ไม่อาจพรากรักเราจากกันได้ให้เราได้รับรู้ หรือแม้กระทั้ง รักของช้างต่อคนในระดับเดียวกับหมาป่าที่มีให้เมาคลี หรือ คิงคองที่มีให้ทาร์ซาน ก็มีให้เห็น และ สัมผัสได้จริง ที่สวรรค์ของช้างแห่งนี้
Elephant Nature Park ตั้งอยู่ที่ อ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
หากสนใจไปเยี่ยมชม หรือ อยากอาสาสมัครไปดูแลช้าง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.elephantnaturepark.org
By Kanravee Kittayarak
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Socialgiver ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโครงการสวนผักอินทรีย์ของพี่อรุษ นวราช ผู้บริหารวิศัยทัศน์ไกลแห่งโรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์ และเลขาธิการของมูลนิธิสังคมสุขใจ ผู้ริเริ่มโครงการเกษตรอินทรีย์ “สามพรานโมเดล” โครงการดีๆที่ส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาใช้วิถีธรรมชาติในการปลูกผักผลไม้แทนการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
หลังจากใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพฯ พี่อรุษได้หันมาพัฒนาความสนใจในเรื่องสุขภาพทางเลือกและการออกกำลังกายจนทำให้ตดสินใจมาดูแลธุรกิจของครอบครัวอย่างเต็มตัว และเกิดแนวคิดที่จะทำเกษตรอินทรีย์ “เราคิดว่าเรามีพื้นที่ เรามีพื้นฐาน เพราะฉะนั้นตอนนั้นก็เลยคิดอยากจะปลูกผัก ผลไม้ ข้าวเป็นอินทรีย์ให้กับลูกค้า”
“สามพรานโมเดล” การเกษตรที่ยั่งยืน
เมื่อทดลองปลูกผักผลไม้และข้าวแบบอินทรีย์โดยตัวเองแล้วนั้น พี่อรุษก็พบข้อจำกัดทางด้านปริมาณการผลิตและความเชี่ยวชาญ “เราเริ่มปลูกผักมาใช้ที่ครัว แล้วก็เริ่มมีแปลงข้าวบ้าง มีผลไม้บ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะเพราะพื้นที่ของเราก็มีจำกัด ในขณะที่โรงแรมใช้ผักผลไม้กับข้าวเยอะมาก ปลูกยังไงก็ไม่พอและเราก็ไม่ใช่มืออาชีพ” จุดนี้เองทำให้พี่อรุษเริ่มติดต่อให้เกษตรกรในบริวรรอบๆให้ปลูกผักผลไม้อินทรีย์ส่งทางโรงแรม และเป็นจุดเริ่มต้นของ “สามพรานโมเดล”
บททดสอบความตั้งใจ
โครงการ “สามพรานโมเดล” ที่เรารู้จักทุกวันนี้ ใครจะรู้ว่าเกือบจะไม่เกิดขึ้นเสียแล้ว “เค้าเข้าใจว่าเราจะมาช่วย แต่เค้าไม่มั่นใจว่าเราจะช่วยจริงหรือเปล่า เพราะจริงๆเค้าก็เจอโครงการที่สนับสนุนการเกษตรมา แต่โครงการมันมักจะไม่ต่อเนื่อง คือเค้าไม่ค่อยชัวร์ว่าเรามาดีหรือเปล่าและเค้าก็ค่อนข้างต่อต้าน” แรงเสียดทานดังกล่านี้เกือบจะทำให้ความตั้งใจของพี่อรุษหมดไปถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือของอาจารย์จุฑาทิพย์ ภัทราวาท ผู้อำนวยการสถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ จากมหาวิทยาลัยเกษตศาสตร์ ที่ได้มาช่วยพูดคุยกับเหล่าเกษตรกรด้วย “ถ้าอาจารย์ไม่ได้มาช่วยด้วยผมคงเลิกล้มความตั้งใจ เพราะว่าเราก็รู้สึกว่าเราจะไปเหนื่อยทำไมถ้าเค้าไม่เห็นประโยชน์ตรงนี้”
ผลิตผลที่ยั่งยืน
เวลา 5 ปีผ่านไปโครงการ “สามพรานโมเดล” ได้เจริญเติบโตขึ้นเป็นโครงการดีๆที่ช่วยเปลี่ยนวิธีคิดของเกษตรกรในการทำการเกษตรและการดำรงชีวิตให้มีคุณภาพและยั่งยืนมากขึ้น “สิ่งสำคัญที่จะทำให้โครงการนี่ยั่งยืนได้คือการเปลี่ยนความคิดให้เค้าเชื่อในเกษตรอินทรีย์ ถ้าค้าเชื่อแล้วนะ อะไรก็มาทำอะไรเค้าไม่ได้” พี่อรุษกล่าว
พี่วัลลภ หนึ่งในเกษตรกรอินทรีย์ได้เล่าถึงประสบการณ์ของตนเองอย่างภาคภูมิใจว่าสวนคะน้าฮ่องกงและเห็ดอินทรีย์ของพี่วัลลภนั้นปลอดสารเคมีใดๆ สะอาดและปลอดภัย “เรากล้าพูดต่อหน้าฟ้าได้เลยว่าผักเราสะอาด แล้วก็ดีต่อสุขภาพ เพราะเราไม่ใส่สารเคมีเลย ในน้ำเราก็เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา อาทิตย์นึงขายได้เป็นสิบโล” เห็นได้ชัดเลยว่าโครงการ “สามพรานโมเดล” นั้นให้มากกว่าพืชผักอินทรีย์ แต่ได้สร้างความภูมิใจในอาชีพเกษตรกรที่เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยอีกด้วย
อิ่มกายสบายอารมณ์ที่ “ตลาดสุขใจ”
“ตลาดสุขใจ” เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “สามพรานโมเดล” โดยที่ตลาดสุขใจนั้นเป็นตลาดนัดสุดสัปดาห์ เปิดทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00น. และขายพืชผักผลไม้อินทรีย์จากเกษตรกรโดยตรง “ตลาดสุขใจเป็นที่ที่ผู้บริโภคและเกษตรกรมาเจอกัน คนซื้อก็จะรู้ไปเลยว่าข้าวที่ซื้อมาจากใคร เกษตรกรเองก็จะได้เห็นว่าทำเกษตรอินทรีย์แล้วมีคนซื้อ ไม่ต้องพึ่งรัฐ ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง พึ่งตัวเองและธรรมชาติ”
ผู้บริโภคสามารถวางใจกับผลผลิตที่ถูกนำมาขายที่ตลาดสุขใจได้อย่างเต็มที่เพราะทางโครงการ “สามพรานโมเดล” ได้มีขั้นตอนในการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าผลิตผลที่จำหน่ายในตลาดนั้นเป็นผลิตผลอินทรีย์ที่แท้จริง “เรามีการสุ่มตรวจทุกอาทิตย์เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าที่ตลาดสุขใจมีแต่ผลิตภัณฑ์อินทรีย์จริงๆ มาตราฐานของตลาดเรามีอยู่ 3 เขียว เขียวอ่อนคือยังแค่
ปลอดภัยอยู่ เขียวกลางที่สินค้าส่วนใหญ่นี่คือเข้าสู่ระบบ และเขียวเข้มที่ได้ใบรับรองอย่างเป็นทางการแล้ว”
ที่สำคัญผักผลไม้คุณภาพเยี่ยมเหล่านี้มีราคาที่สมเหตุสมผลและคนทั่วไปสามารถซื้อได้ “ผักออร์แกนิคไม่จำเป็นต้องแพง” พี่อรุษอธิบาย ปัจจุบันนี้ตลาดสุขใจได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้นทำให้เกษตรกรที่ยังคงพึ่งเคมีทางการเกษตรอยู่นั้นหันมาสนใจเกษตรอินทรีย์มากขึ้น โดยทางโครงการ “สามพรานโมเดล” ได้มีการจัดการบรรยายและสาธิตการเกษตรวิถีอินทรีย์ต่อเกษตรกรผู้สนใจอยู่เรื่อยๆค่ะ
หากเพื่อนๆสนใจอยากจะไปเยี่ยมชมโครงการ “สามพรานโมเดล” และชิมผักผลไม้อินทรีย์ของคุณน้าเกษตรกรของตลาดสุขใจ สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 034-322-588 ค่ะ
อีกส่วนหนึ่งของ การเดินทาง ที่ทุกคนต่างให้ความสำคัญไม่แพ้จุดหมายปลายทางเลย ก็คือ ที่พัก เพราะเป็นส่วนสำคัญในการเตรียมกายและใจสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น แต่จะมัวนอนพักในบรรยากาศเดิมๆ คงเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้น ที่พักแบบ Camping จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
ให้ความรู้สึกผจญภัยเต็มเปี่ยม
ทุกครั้งที่ได้ตั้งแคมป์ชวนให้ภาพบรรยากาศเหมือนการเข้าค่ายลูกเสือในวัยเด็ก ทุกอย่างดูตื่นเต้น น่าสนุกและยังได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติเป็นพิเศษ ด้วยสถานที่ตั้งรวมทั้งอุปกรณ์ตั้งแคมป์ต่างๆ ที่คุณต้องจัดการเอง เหนื่อยนิดแต่สนุกมาก