มารู้จักกับ 8 กิจการเพื่อสังคมของไทยกันไปแล้ว มาคราวนี้ เราจะขอแนะนำกิจการเพื่อสังคมทของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “ประเทศ ลาว” ซึ่งกำลังเริ่มดำเนินการกิจการเพื่อสังคมอยู่หลายธุรกิจที่โดดเด่นและได้รับรางวัล รวมทั้งสร้างเรื่องราวดีๆ ให้เกิดขึ้นมากมาย มาติดตามกันเลยดีกว่าครับ
Business’s woman association ธุรกิจส่งเสริมศักยภาพแรงงาน
คุณ Borivone Phafong นักธุรกิจหญิงชาวลาว ผู้ก่อตั้งกลุ่มกิจการเพื่อสังคมส่งเสริมความสามารถของสตรีในลาวเพื่อให้สามารถเป็นผู้ประกอบการและเพิ่มโอกาสในการพัฒนาความสามารถด้านการจัดการ ในชื่อ Business’s Women Association หรือ BWA ซึ่งช่วยให้กลุ่มสตรีมีโอกาสในการทำงานได้อย่างเท่าเทียมในสังคมมากขึ้น และยังตั้งศูนย์พัฒนาความสามารถในชื่อ Garment Skill Development center ด้วย
Mulberries ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
กิจการเพื่อสังคมที่ คุณ Kommaly Chanthavong สตรีผู้เล็งเห็นความสำคัญของการเลี้ยงไหมแบบออร์แกนิคได้ทำการรวบรวมกลุ่มสตรีและทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอในจังหวัด Xieng Khouang ของประเทศลาว จากนันก็ได้มีการทำกิจการในรูปแบบออนไลน์เพื่อสร้างรายได้แก่กลุ่มสตรี พร้อมนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดสากล ผ่านเวปไซท์ www.mulberries.org/ ซึ่งผลิตภัณฑ์จากไหมออร์แกนิคมากมายและที่สำคัญคือเป็นงานฝีมือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ผ้าพันคอหรือเส้นไยสำหรับขัดผิว สามารถติดตามเรื่องราวและผลิตภัณฑ์ได้ทางเวปไซท์ข้างบนครับ
Xao Ban Group ธุรกิจส่งเสริมศักยภาพแรงงาน
กลุ่มกิจการเพื่อสังคมที่เกิดจากการรวบรวมกลุ่มสตรีในอำเภอ Ban Saphangmoh กรุงเวียงจันทร์ เพื่อทำผลิตภัณฑ์จากผลไม้แปรรูปและโยเกิร์ต หลักจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความสนใจและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งจากชาวลาวและนักท่องเที่ยว กับผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมี่ยมกว่า 20 ชนิด ทั้งแยมผลไม้ น้ำผลไม้ โยเกิร์ตรสหรือน้ำผึ้งป่า เป็นต้น ด้วยความตั้งใจในการส่งผลผลิตจากชาวสวนให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงในราคาที่เป็นมิตร เป็นที่มาของแบรนด์ Xao Ban สามารถรับชมได้จากวิดิโอนี้เลย
https://www.youtube.com/watch?v=GI2dvTt7Fdg
fruit friend ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
กิจการเพื่อสังคมในชื่อน่ารักอย่าง Fruit Friends ก่อตั้งโดยคุณ Ket VannaTham เริ่มดำเนินการในวังเวียง จากความตั้งใจที่พัฒนาความเป็นอยู่ของเกษตรชาวลาวให้ยั่งยืนและเกิดความเท่าเทียมในการขายผลผลิต FruitFriends จริงสร้าง Market place ในการช่วยเกษตรกรจำหน่ายผลผลิตและนำกำไรที่ได้ไปสนับสนุนโครงการพัฒนาชุมชนทั้งการก่อสร้างโรงเรียน การทำฟาร์มออร์แกนิคหรือการสอนหนังสือให้กับเด็กๆ เป็นต้น ติดตามเรื่งอราวดีๆ ของ FruitFriends ได้ที่นี่เลยครับ
Jhai coffee ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
ด้วยความตั้งใจของ Tyson Adams ผู้ที่ได้ใช้ชีวิตอยู๋ในประเทศลาวและได้รับรู้ถึงผลกระทบหลังสงคราม ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียตามมาคือการขาดแคลนแหล่งน้ำสะอาดของชาวบ้านในอำเภอปักซง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองปักเซ ไป 50 กิโลมตร โดยการให้ความรู้กับชาวบ้านและจัดหาแหล่งน้ำสะอาดจากการทำร้านขายกาแฟ ที่มีชื่อว่า Jhai Coffee House โดยใช้กาแฟที่ชาสบ้านปลูกและนำกำไรที่ขายได้ทั้งหมดเพื่อพัฒนาคุณภาพแหล่งน้ำและระบบสาธารณูปโภคให้กับชาวบ้าน พร้อมช่วยให้พวกเขามีรายได้จากการขายเมล็ดกาแฟไปพร้อมๆ กัน ติดตามเรื่องราวเจ๋งๆ ของร้านกาแฟ Jhai Coffee Houseได้เลยครับ
Article22 ธุรกิจด้านเครื่องประดับ
ELIZBETH SUDA นักธุรกิจชาวนิวยอร์กผู้ตัดสินใจออกเดินทางทั่วโลกเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ และได้ตัดสินใจดำเนินกิจการเพื่อสังคมที่กรุงเวียงจันทร์ โดยใช้ความสามารถด้านดีไซน์เนอร์และการตลาด หลักจากได้พบช่างฝีมือที่ผลิตช้อนขึ้นจากขีปนาวุธที่ใช้การไม่ได้ เธอจึงจัดตั้ง Article 22 ขึ้นมาโดยการให้ผู้เชี่ยวชาญขุดหาขีปนาวุธแล้วนำมาแปรรูปเป็นเครื่องประดับกระขายรายได้ให้ช่างฝีมือท้องถิ่น โดยใช้ชื่อคอเลคชั่นเครื่องประดับชุดแรกว่า Peacebomb เพื่อนำรายได้ในการขุดหาขีปนาวุธและพัฒนาที่ดินให้มีความปลอดภัยมากขึ้น ชมคอลเลคชั่นเครื่องประดับ Peacebomb ได้ที่นี่เลยครับ
Ock Pop Tok (ออก พบ ตก) ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
Veomanee Douangdala และ Joanna Smith สองสาวผู้ร่วมก่อตั้งกิจการเพื่อสังคมและอนุรักษ์สิ่งทอพื้นบ้านของประเทศลาว โดยใช้ชื่อ Ock pop tok (ออกพบตก) ตั้งอยู่ที่หลวงพระบาง โดยการรวมองค์ความรู้ท้องถิ่นในการทำสิ่งทอเพื่อสร้างสรรผลงานสิ่งทอที่ได้มาตรฐานระดับโลกไม่ว่าจะเป็นผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ อุปกรณ์แต่งบ้านหรือกระเป๋า เพื่อนำรายได้ไปสมทบทุนโครงการเพื่อสังคมและขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กชาย หญิง ในหลวงพระบาง พร้อมกับตั้งพิพิธภัณฑ์รวบรวมงานสิ่งทอไว้ให้เข้าชมได้ฟรีเพื่อรักษามรดกทางปัญญาของชาวบ้าน ติดตามเรื่องราวเพิ่มเติมกันเลยครับ
Green discovery ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว
หนึ่งในกิจการเพื่อสังคมด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของลาว โดยคุณ Inthy Deuansavan ผู้ก่อตั้งกิจการทัวร์หลากรูปแบบเพื่อนักเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านและได้สนุกสนานกับการท่องเที่ยวหลากรูปแบบทั้งปีนเขา พายเรือคายัค ขี่ช้างหรือล่องแพ โดยการให้วับรุ่นชายหญิงในพื้นที่ฝึกทำหน้าที่ไกด์และให้ค่าตอบแทนเพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน นอกจากนี้ยังนำรายได้จากการท่องเที่ยวกลับไปฟื้นฟูธรรมชาติในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยว ติดกิจกรรมและการท่องเที่ยวทั่วลาวที่น่าสนใจได้เลย
Credit ภาพและเนื้อหา : laobusinesswomenassociation.org, www.mulberries.org, www.xaoban.com, www.fruitfriendslaos.org, www.jhaicoffeehouse.com , www.indiegogo.com, ockpoptok.com, www.greendiscoverylaos.com, article22.com
กระแส Social Enterprise หรือ กิจการเพื่อสังคมในขณะนี้กำลังมาแรงสุดๆ ด้วยรูปแบบธุรกิจที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพสินค้าและการช่วยเหลือสังคมในเวลาเดียวกัน เพื่อไม่ให้เป็นการตกเทรนด์ เราจึงขอพาคุณไปทำความรู้จักกับกิจการเพื่อสังคมรุ่นใหม่ไฟแรงที่จะช่วยให้คุณได้เป็นผู้นำเทรนด์ในการใช้จ่ายออนไลน์และช่วยเหลือสังคมไปพร้อมๆ กันครับ
Siam organic ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
บริษัทผลิตสินค้าออร์แกนิคเกรดพิเศษในชื่อ Jasberry โดยปราศจากการ GMO หรือสารเคมีในการผลิต ซึ่งมีการส่งเสริมให้เกษตรกรท้องถิ่นในภาคอีสานให้มีรายได้จากการทำการเกษตรอินทรีย์อย่างถูกวิธีไปพร้อมกับการเติบโตของแบรนด์ กิจการเพื่อสังคมที่ดูแลส่งเสริมกันทั้งฝั่งผู้บิรโภคและเกษตรกรอย่างยั่งยืนแท้จริง ชมตัวอย่างสินค้าและเรื่องราวของ Siam organic เพียงกดอ่านรายละเอียดตรงนี้ได้เลย
Bright Sprout โครงการต้นกล้าสดใส ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
หนึ่งในกิจการที่ได้รับรางวัลจากโครงการ “กล้าใหม่…สร้างสรรค์ชุมชน ปี 9 ” โดย SCB Challenge ซึ่งน้องๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลล้านนา ลำปาง ที่ออกแบบแปลงผักและช่วยเหลือผู้พิการให้สามารถสร้างรายได้และนำไปขายเป็นผักปลอดสารพิษ ส่งเสริมอาชีพและสร้างตลาดแรงงานให้กับผู้พิการทางสายตาให้สามรถทำงานและสร้างรายได้ด้วยตนเอง มารับชมวิดิโอบอกเล่าเรื่องราวเจ๋งๆ กันเถอะ
Globish Academia ธุรกิจด้านการศึกษา
Globish Academia ธุรกิจด้านการศึกษา Startup สอนภาษาอังกฤษด้วยอาจารย์ชาวต่างชาติ ผ่านระบบ internet ด้วยโปรแกรมวิดิโอคอลอย่าง Appear.in โดยให้ผู้เรียนสามารถลงเวลาเรียนเองได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เน้นฝึกด้านการฟังและการพูดโดยเฉพาะ และสิ่งที่ยิ่งน่าสนใจคือทาง Globish Academia ได้ทำโครงการเปิดโอกาสให้กับผู้พิการให้ได้เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปสร้างโอกาสในการทำงาน ด้วยระบบการเรียนออนไลน์ที่ไม่ต้องเดินทาง สามารถเรียนได้ที่บ้าน รวมถึงค่าเรียนที่ไม่แพงและมีภาครัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย ทำให้ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาในกลุ่มผู้พิการ เพิ่มโอกาสและความสามารถในการทำงานของผู้พิการ ถ้าสนใจฝึกพูดภาษาอังกฤษออนไลน์กับ Startup ใจดีอย่าง Globish Academia ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ได้เลย
Folkrice ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
จากความตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรไทยและรักษาพันธุ์ข้าวท้องถิ่น ของคนหนุ่มไฟแรงอย่างคุณ อนุกุล ทรายเพชร ได้พัฒนาแพลตฟอร์มและแอพพลิเคชั่นสำหรับเชื่อมต่อผู้บริโภคและชาวนาที่เป็นผู้ผลิตโดยตรง โดยผู้บริโภคสามารถเลือกชนิดและพันธุ์ข้าวท้องถิ่นได้ตามต้องการในราคาที่ยุติธรรมกับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อให้ชาวนาสามารถคงพันธุ์ข้าวที่หลากหลายและมีคุณภาพให้กับตลาด อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่นี่ และดาวน์โหลด application: Folkrice ได้ทั้งระบบ iOS และ Android แล้ว
Hivester ธุรกิจด้านท่องเที่ยว
กิจการเพื่อสังคมที่ช่วยชุบชีวิตให้ชุมชนกลับคืนมาอีกครั้ง จากการพยายามฟื้นฟูวิถีท่องถิ่นในชุมชนนั้นๆ อย่างการทำขนมไทย ทำบาตรพระหรือการรำชาตรีที่ค่อยๆ สูญหายไปตามกาลเวลา Hivester(ไฮวฟ์สเตอร์) จึงผลักดันเศรษฐกิจในชุมชนผ่านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีทริปให้ลงไปสัมผัสความเป็นอยู่ ธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวบ้านพร้อมกระจายรายได้ให้กับชุมชนเพื่อเกิดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่สนุกสนานตลอดทริป สนใจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เข้าไปได้เลย
Once again hostel ธุรกิจโรงแรมและที่พัก
ที่พักนักเดินทางที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่า ไม่ไกลจากชุมชนท้องถิ่นที่ยังมีชีวิตชีวา โฮสเทลแห่งนี้ดำเนินการภายใต้แนวคิดธุรกิจเกื้อกูล (Inclusive Business) โดยไม่ทำธุรกิจซ้อนทับกับธุรกิจที่มีอยู่แล้วในชุมชน แต่ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สร้างอาชีพให้แก่คนในชุมชนใกล้เคียง เริ่มจากชุมชนวังกรมพระสมมตอมรพันธ์ ชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนบ้านบาตรและชุมชนนางเลิ้ง ร่วมมือกับชาวบ้านพัฒนาชุมชน มีโฮสเทลเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ทั้งสมาชิกชุมชน นักเดินทางและโฮสเทล ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวร่วมกัน ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่
Local alike ธุรกิจด้านท่องเที่ยว
หนึ่งใน Start up ที่มาแรงมากๆ ด้วยการผนวกการท่องเที่ยเชิงอนุรักษ์เข้ากับการจัดทริปและพัฒนาความเป็นอยู่ของช้าวบ้านในพื้นที่ชุมชน Local alike ได้สร้างเครือข่ายชุมชันและนำพานักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชาวบ้านทั้งการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ กิจกรรมและงานฝีมือต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ผ่านความร่วมมือของชาวบ้าน ให้เกิดเป็นการท่องเที่ยวแบบ Community based ที่ได้ประโยชน์ทั้งชุมชน นักท่องเที่ยวและโครงการที่พัฒนาชุมชนนั้นๆ ติดตามการพัฒนาชุมชนท่องเที่ยวแบบใหม่ได้ที่นี่เลย
Socialgiver ธุรกิจด้านท่องเที่ยว
ปิดท้ายด้วย Socialgiver พื้นที่ออนไลน์มอบประสบการณ์ท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ โดยนำกำไรจากบัตรของขวัญทั้งหมดไปมอบให้โครงการเพื่อสังคมกว่า 15 โครงการที่ร่วมระดมทุน ให้เกิด “การท่องเที่ยวเพื่อสังคม” สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายทั้งธุรกิจ ผู้บริโภคและภาคสังคม ด้วยความตั้งใจในการสร้าง Giving ecosystem ให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างยั่งยืนผ่านการนำเสนอเรื่องราวของโครงการต่างๆ ด้วยสื่ออนไลน์และแนะนำบัตรของขวัญบนเวปไซต์ให้ได้เลือกกันอย่างจุใจมากกว่า 60 ใบ สามารถเลือกบัตรของขวัญดีๆ และติดตามโครงการที่สนใจได้ง่ายๆ ตรงนี้
Credit: เนื้อหา : www.asiaforgood.com/
ภาพประกอบ : www.siamorganic.net , www.globish.co.th , www.folkrice.com , www.hivesters.com , www.onceagainhostel.com , www.localalike.com
หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาในการทำหน้าที่เป็นผู้จัดกิจกรรมในฐานะครูอาสากันมาแล้วในวันแรก วันนี้เด็กๆ และชาวบ้านที่แม่ฮองใหม่จะพาครูอาสาไปเรียนรู้วิถีชิวิตความเรียบง่ายแฝงไปด้วยความน่ารักของพวกเขา ช่วงเวลาเช้าๆ ของที่นี่มีหมอกลงและยังมีหมูป่าตัวอ้วนกลมเดินเล่นรอบหมูบ้านเลยด้วย น่ารัก น่าชังและน่าจะกินจุมากด้วย (ฮ่า)
วันนี้ทุกคนจะได้ร่วมกิจกรรมการเดินป่า ชมธรรมชาติ น้ำตกและดูตาน้ำ(จุดที่น้ำผุดบนภูเขา) โดยที่เด็กๆ จะคอยนำทาง ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพืช สัตว์และแมลงในบริเวณนี้ ซึ่งทั้งเรา ครูอาสาและเด็กๆ ก็ตื่นเต้นพอๆ กัน พวกครูอาสาตื่นเต้นเพราะไม่เคยไปที่นี่มาก่อน ส่วนเด็กๆ ก็ตื่นเต้นในการทำหน้าที่ไกด์นั่นเอง พวกเราทุกคนเริ่มต้นออกเดินกันตั้งแต่ช่วงสายๆ แดดกำลังดีแต่ที่นี่ไม่ร้อนเลยซักนิดเพราะจะมีลมพัดอ่อนๆ ตลอดเวลาครับ

ไกด์คนเก่งของเราเอง!!
เมื่อมาถึงทางเดินสะพานไม้เก่าๆ เด็กๆ ก็เล่าว่า “นี่คือทางขึ้นนะครับ เดี๋ยวต้องเดินขึ้นไปอีกสักพักครับครู” ซึ่ง…สักพักที่ว่าของเด็กๆ ที่นี่มันไม่ง่ายเอาซะเลย แม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าแล้ง(ในช่วงที่ไปนะครับ) แต่กระแสน้ำก็ยังค่อนข้างเชี่ยว แต่พอได้เข้าไปสูดอากาศในป่าแล้วรู้สึกฟินมากๆ อากาศเย็นๆ ชื้นๆ จนเกือบลืมไปว่านี่ยังฤดูร้อนอยู่นะ!! ทั้งอากาศดี ลมพัดเย็น เสียงน้ำตกไหลเรื่อยๆ ตลอดทาง แม้ว่าจะทุลักทุเลกันบ้าง แต่พอได้มาถึงจุดพักเล่นน้ำแล้วความเหนื่อยล้าก็พลันหายไปทันที ทุกคนกะโดดลงเล่นน้ำสนุกสนานจนลืมเหนื่อยร่วมกับไกด์ตัวน้อย ทั้งครูอาสา ทั้งเด็กๆ ดูกลมกลืนกันจนแยกไม่ออกเลย(ฮ่า)
เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ทุกคนก็ควักปิ่นโตลายสวยหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าใบจานออกมา พวกเราก็พากันล้อมวงกินข้าวเหมือนเช่นทุกมื้อ แม้ตัวจะเปียกและลมพัดให้หนาวๆ กันบ้าง แต่การล้อมวงกินข้าวก็ช่วยทำให้ทุกคนรู้สึกได้จริงๆ นะ… รู้สึกและรับรู้ถึงความเป็นมิตร ความอบอุ่นที่ได้รับจากชาวบ้านและเด็กๆ มื้ออาหารมื้อพิเศษ ใจกลางป่าเขา นั่งกินข้าวห่อในใบจาน ฟังเสียงนกร้อง เสียงธารน้ำไหล มองเห็นรอยยิ้มและความสุขของผู้คนรอบตัว… อืม… จะมีมื้ออาหารที่ไหนที่วิเศษกว่านี้อีกมั๊ยนะ?
เสร็จสิ้นมื้อเที่ยงแสนวิเศษแล้ว ไกด์ตัวน้อยก็พาเราขึ้นเขา เพื่อไปดูตาน้ำ เด็กๆ บอกว่าแปปเดียวถึง(อีกแล้ว!) ซึ่งถ้าเด็กๆ เดินมาเองก็คงจะแป๊ปเดียวแหละครับ แต่ทางจริงๆ นั่นค่อนข้างชันและเดินยากเพราะต้องเดินฝ่ากระแสน้ำตลอดทาง จนในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงซะที ฮึบ ข้างบนนี้มีธรรมชาติป่าเขาสมบูรณ์มาก ทุกอย่างดูเขียวขจี สบายตา พืชป่าพันธุ์ต่างๆ ขึ้นเต็มรอบจุดที่น้ำผุด เด็กๆ บอกว่า “น้ำตรงสะอาดมาก กินได้เลยครับ” แน่นอนว่าเราก็กรอกมา 1 ขวดไว้ดื่ม ซึ่งน้ำใส เย็น สะอาด ดื่มแล้วชื่นใจมากจริงๆ ครับ
เมื่อดูตาน้ำแล้วก็ถึงคราวต้องเดินกลับ ซึ่งทางเดินกลับนี่หละครับที่มหาโหดของจริง ด้วยทางชันและค่อนข้างแล้ง บวกกับแดดในช่วงบ่ายแก่ๆ ซึ่งของบนนี้ป่ายังผลัดใบอยู่ทำให้ไม่ค่อยมีร่มเงา จากเมื่อครูตัวเปียกน้ำ เดินๆ ขึ้นมาตัวแห่งและตอนนี้พวกเรากำลังตัวเปียกเหงื่อกันแทน!! แม้จะเหนื่อย(มาก)หน่อย แต่ทุกคนก็พูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง โดยเฉพาะไกด์เด็กๆ ที่นี่ พวกเขาดูไม่เหนื่อยเลยซักนิด = = ผิดกับครูอาสาอย่างเราๆ ที่ขาแทบลากกว่าจะไปถึงหมู่บ้าน เป็นอีกหนึ่งวันที่ครบรสทั้ง โหด มันส์ ฮา สาระและความอบอุ่นใจ
จริงอย่างที่ว่า”ไม่มีงานเลี้ยงไหนไม่เลิกรา” มาถึงวันที่บรรดาครูอาสาต้องจากลาหมู่บ้านแม่ฮองใหม่ กลับสู่โลกใบเดิมที่เคยใช้ชีวิตกันเรื่อยมา ความสุข…ยังคงผ่านไปไวเสมอ แต่เราคงทำได้เพียงเก็บมันไว้ไม่ให้มันผ่านมาและผ่านพ้นไป ประสบการณ์ มิตรภาพ ความทรงจำ ที่เกิดขึ้นที่นี่ในช่วงเวลาไม่กี่วันล้วนแต่เป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ การมาเป็นครูอาสาสำหรับเราแล้วมันจึงไม่ใช่การมาเป็นผู้ให้แต่ฝ่ายเดียวอย่างที่คิดไว้ แต่มันคือการเรียนรู้ที่จะเข้าใจซึ่งกันและกัน สิ่งของต่างๆ ที่มอบให้ เราเชื่อว่ามันคงเป็นประโยชน์กับชาวบ้านที่นั่นและเช่นกัน ความสุข ที่พวกเขามอบให้เรา… เราก็จะได้ใช้มันทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อแบ่งปันให้กับคนในสังคมต่อๆ ไป
….ขอบคุณที่มอบความสุขมาให้กันนะครับ… // หมู่บ้านแม่ฮองใหม่ อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
อ่านเรื่องราวตอนที่ 1 ของครูอาสาได้ง่ายๆ เพียงกดตรงนี้เลย
การเรียนรู้เกิดขึ้นเสมอเมื่อเราก้าวออกมาจาก comfort zone นึกถึงวันแรกที่ไปโรงเรียนมาจนถึงวันนี้ที่ได้มีโอกาสไปเป็น “ครูอาสา” ซึ่งต้องไปยังหมู่บ้านที่สัญญาณโทรศัพท์เข้าไม่ถึงซะด้วย!! หมู่บ้านแม่ฮองใหม่ คือชื่อหมู่บ้านที่เป็นปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ เราเริ่มต้นจากการเดินทางไปที่อำเภออมก๋อย จ.เชียงใหม่ ด้วยรถทัวร์ ประมาณ 10 ชั่วโมงเห็นจะได้ ก่อนจะไปลงที่ทางขึ้นและนั่งรถประจำทางต่อเข้าไปตัวอำเภออมก๋อย….แต่นี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเพราะการเดินทางจริงๆ มันเริ่มจากที่ตัวอำเภอนี่หละครับ
จากตัวอำเภออมก๋อยผมและครูอาสาเริ่มออกเดิมทางโดยมีครูต้อม จากโครงการ 4DekDoi เป็นผู้กล่าวแนะนำการถึงการเป็นครูอาสาคร่าวๆ เราเริ่มเดินทางกันประมาณ บ่ายโมง และใช้เวลาเดินทางอีก 4 ชั่วโมงบนรถกระบะ ผ่านทางลูกรัง ดินแดง ฝุ่งตลบและพื้นลาดชันหลากหลายรูปแบบจนไปถึงหมู่บ้าน…เล่นเอาสะบักสะบอมไปตามๆ กัน
เมื่อมาถึงทุกคนในหมู่บ้านดูตื่นเต้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลย เราเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาหมู่บ้านที่ไกลขนาดนี้(ปาดเหงื่อเบาๆ) ก่อนจะแยกย้ายเข้าพักตามบ้านของชาวบ้านแต่ละคน ตามที่ครูต้อมได้แบ่งมาให้ ก่อนจะทำกับข้าวและเข้านอนกันในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม เพราะบ้านแต่ละหลังจะมีหลอดไฟเพียงหนึ่งหลอดเก็บไฟฟ้าจากแผงโซลาเซลล์ใส่แบตเตอรี่ไว้ใช้ ทำให้ต้องใช้ไฟกันอย่างประหยัดแต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเราจำได้ว่าหัวถึงหมอนก็สลบเหมือนอดนอนมาประมาณ 3 วันได้
อรุณสวัสดิ์รับเช้าวันใหม่ด้วยเสียงไก่ขัน ตั้งแต่….ตี 5 ใช่แล้ว ไก่ที่นี่ทำหน้าที่ได้ดีมากจริงๆ ขันได้ตรงเวลาทุกวันเลยครับ ชาวบ้านก็พากันลุกขึ้นล้างหน้าอาบน้ำหุงหาอาหารกัน นี่ละวิถีช้าวบ้านแท้ๆ เลย พอถึงเวลาทานข้าวทุกคนในบ้านจะมาล้อมวงพร้อมกันและทานข้าวด้วยกัน เป็นเช่นนี้ทุกมื้อ คงเป็นสาเหตุให้รสชาติอาหารที่นี่มีความพิเศษกว่าที่ไหนๆ เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นมากๆ จริงๆ
จากนั้นครูอาสาก็เดินทางไปทำกิจกรรมพร้อมเด็กๆ ที่โรงเรียนซึ่ง ห่างจากหมู่บ้าน 2 กิโล…ซึ่งเป็นทางชันพอสมควร เรียกเหงื่อยามเช้าได้เป็นอย่างดี เมื่อมาถึงครูต้อมก็แนะนำตัวครูอาสาและแบ่งกลุ่มเด็กๆ เข้าทำกิจกรรมตามช่วงอายุทั้งเด็กเล็ก เด็กกลางและเด็กโต ทุกคนดูสนุกสนานกันมากๆ ทั้งครูอาสาและเด็กๆ ที่จะเข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้
แม้ว่าภาษาพูดจะเป็นปัญหาในการสื่อสารอยู่บ้าง แต่ภาษากายที่ทุกคนที่นี่คือรอยยิ้ม เสียงหัวเราะที่มาอุดช่องว่างของการสื่อสารเหล่านั้นจนหมดสิ้น ทั้งครูอาสาและเด็กๆ ต่างก็แบ่งปันความสุขซึ่งกันและกันผ่านกิจกรรมง่ายๆ อย่างการเล่นดินน้ำมัน สอนหนังสือ ท่อง A B C หรือเล่นลูกโป่ง ทุกอย่างคือความพิเศษที่เกิดขึ้น เหมือนว่าเราได้เป็นครูอาสามาสอนหนังสือแต่เป็นคนอาสาแบ่งปันความสุขกับเด็กๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้ยังไงยังงั้น
เวลาทั้งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว คำกล่าวที่ว่า “เวลาแห่งความสุขผ่านไปไวเสมอ” คือประโยคแรกที่แวบเข้ามาในหัวเมื่อพระอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนลง เด็กๆ ผู้ปกครองและครูอาสาพากันเดินกลับหมู่บ้านของแต่ละคน ช่วยกันทำกับข้าวอย่างสนุกสนานแม้ว่าจะเหนื่อยบ้างจากระยะทางเดินไปกลับโรงเรียน แต่ทุกไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลย กว่าจะรู้ตัวฟ้าก็มืดเสียละ เราเล่นกิจกรรมรอบกองไฟกันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกัน เพื่อเตรียมตัวทำกิจกรรมสำหรับวันพรุ่งนี้ต่อ การเดินทางยังไม่จบแค่นี้ เพราะเรื่องราวดีๆ ต้องมีภาคต่อเสมอครับ ^^
[:]
[:Th]

โหนทะยานเข้าสู่ใจกลางป่าฝนกัน!!
อีกหนึ่งสีสันของ การท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ที่หลายคนคุ้นแต่ยังไม่เคยลองท่องเที่ยวแบบ Adventure แบบนี้ Zipline Canopy คือการโหนตัวเข้าไปในพื้นที่ป่าด้วยสลิงที่มีการตรวจสอบมาตรฐานอย่างดี พร้อมมี Safety ป้องกันกว่า 2 ชั้น ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมสูงมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเพราะเป็นการท่องเที่ยวเชิงเอ็กซ์ตรีมและสามารถอนุรักษ์ธรรมชาติเพราะ Zipline นั้นจะเน้นการติดตั้งฐานและสลิงบนต้นไม้ใหญ่โดยไม่ทำลายต้นไม้หรือก่อให้เกิดความเสียหายกับธรรมชาติโดยรอบ
วันนี้เราขออาสามาแนะนำและรีวิว(แบบสปอยนิดๆ) ในการเล่น Zipline ที่อำเภอแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มต้นด้วยการนัดจองคิวโดยจะมีรถตู้จาก Flight of The Gibbon มารับเราถึงที่พักในตัวเมือง แล้วจะพาเราไปยังจุดเล่นกิจกรรมที่อำเภอแม่กำปองซึ่งต้องนั่งรถไปประมาน 1 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อไปถึง พนักงานจะเข้ามาตอนรับและให้กรอกรายละเอียดซะก่อน แล้วจึงพาเราไปวัดชุดสวมอุปกรณ์ให้เข้าที่ เมื่อสวมครบแล้วก็จะออกมาสภาพนี้เลย

หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว พร้อมลุย!!
พอเตรียมตัวเรียบร้อย รถตู้และทีมงาน(ชื่อตำแหน่ง Sky Ranger) 2 คนจะพาเราไปเล่นกิจกรรมกันที่ป่าฝน ซึ่งตอนนี้เป็นหน้าร้อนเลยแห้งๆ หน่อย แต่พี่เขาแอบกระซิบว่าถ้ามาเล่นหน้าหนาวจะมีหมอกลง อากาศจะเย็นจัดและเป็นอะไรที่พีคและฟินมาก!! เริ่มต้นด้วยการสาธิตการโหนสลิงกันก่อน จากนั้นก็จะเริ่มโหนจริงๆ โดยจะมีSky Ranger 2 คนคอยโหนนำและโหนปิดท้าย ดูแลและให้ความรู้ตลอดการเล่นกิจกรรม เพลินมากๆ ครับ ระหว่างเล่นก็จะโหนไปตามต้นใหม่ใหญ่ มองลงไปข้างล่างก็สูงพอให้เสียวไส้อยู่เหมือนกัน โดยการโหน Zipline เป็นกิจกรรมใกล้ชิดธรรมชาติแบบ Exclusive สุดๆ เพราะเราจะได้เห็นธรรมชาติ ป่า เขา น้ำตกและสัตว์ป่าต่างๆ ระหว่างทาง
ซึ่งบอกได้ 3 คำว่า “มันส์ เด็ด มว๊วก” ยิ่งในฐาน Zipline 800 เมตร เนี่ย โอโห้…แม่เจ้า โหนยาวสุด เด็ดสุด เสียวสุดสมคำร่ำลือจริงๆ!! และตลอดระยะเวลาการโหน นับเป็นประสบการณ์ adventure แบบทาร์ซานเหมือนในการ์ตูนที่โหนเถาวัลย์ในป่าเราสามารถเล่นท่ายาก ท่างาย ตามความสารถและความถนัดของเราได้เลยครับ แต่ที่นี่มีการรักษาความปลอดภัยและการใช้สายล็อค Safety ที่ดีเยี่ยม ไม่แปลกใจที่การเล่น Zipline จะกลายเป็นกิจกรรมที่ชาวต่างชาติพากันแนะนำปากต่อปาก แต่คนไทยอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นและไม่ค่อยมีใครเคยทำรีวิวเท่าไหร่ แต่ถ้ามีโอกาสเราก็อยากให้ทุกคนได้ไปลองนะ เป็นประสบการณ์เจ๋งๆ ที่หาไม่ได้จากที่ไหนเลยจริงๆ ครับ
สรุปรวมกิจกรรม 1 วัน
– รถตู้มารับถึงที่พักในตัวเมืองเชียงใหม่
– พาเราไปแม่กำปอง กรอกรายละเอียดและสวมชุด (มี Action camera ให้เช่าหน้างาน)
– เล่น Zipline ในป่าฝนมากกว่า 15 ฐาน!! โหนกันเพลินเลยล่ะ
– พักทานข้าวกลางวัน เป็นอาหารไทยและมีวงดนตรีพื้นเมืองบรรเลง
– พาไปเล่นน้ำตกบนภูเขาที่สูงขึ้นไปจากจุดพัก
– พานักท่องเที่ยวกลับไปยังที่พักในตัวเมืองเชียงใหม่
เป็นแพ็คเกจรวมในราคา 3999 บาท ต่อท่าน
แต่เดี๋ยวก่อน!! เพราะเราก็มีดีลราคาดีๆ ที่ลดจากราคาเต็มเหลือเพียง 2500 บาทต่อท่าน เท่านั้น ดูรายละเอียดที่นีเลย
ไว้คราวหน้าจะไปเล่นที่สาขาอื่นๆ อีกและจะนำเรื่องราวมาแบ่งปันกับทุกคนอีกนะครับ ^^[:]
ไม่เพียงแต่คนเราเท่านั้นที่ต้องพบเจอปัญหาในชีวิตและสังคมที่อยู่ สัตว์เลี้ยงแสนรักอย่างน้องหมาเองก็มีความเสี่ยงเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับเจ้าของใจร้ายที่ทอดทิ้ง โดนอุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะมีใครยอมไปเหลียวแลพวกมันด้วย แต่ถึงกระนั้นโลกของเราก็ยังไม่หมดหวังไป เมื่อมีกลุ่มคนใจดีที่กระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ คอยให้ความช่วยเหลือพวกมันจนกลับมามีชีวิตที่มีความสุขได้อีกครั้ง และนี่ก็เป็นเรื่องราวของน้องหมาที่ได้รับการช่วยเหลือจากคนใจดีเหล่านั้น
1> Mufasa สุนัขแก่ไร้บ้านที่อาศัยอยู่ในโรงบำบัดน้ำ มันมีทีท่าเกรงกลัวมนุษย์ทุกคนที่เข้าใกล้ แต่เมื่อได้รับการดูแล ทำหมันและอาบน้ำให้ ความรู้สึกกลัวของมันจึงหายไปและตอนนี้ก็มีคนรับเอามูฟาซาไปดูแลแล้วเรียบร้อย ^^
2> Bunny สุนัขพันธุ์พิทบูเพศเมียที่ถูกเจ้าของทิ้งไว้แล้วไม่มารับกลับ ผ่านเวลาไปหลายเดือนมันต้องอดทนอยู่ในพื้นที่แห่งแล้งและประทังชีวิตด้วยตัวเอง ก่อนทีมช่วยเหลือจะเข้าไปหาและรับมันมาดูแล การกอดและลูบหัวมันคือยาดีที่ช่วยให้มันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
3> Toffee สุนัขที่มีอาการบาดเจ็บปางทั้งถูกทำร้ายด้วยสุนัขท้องถื่นและจากมนุษย์ด้วยเช่นกัน สภาพในครั้งแรกของทอฟฟี่แทบแยกไม่ออกว่ามันยังมีชีวิตอยู่มั๊ย แต่ความตั้งใจในการมีชีวิตรอดของมันทำให้ทอฟฟี่สามารถฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บสาหัดของมันเองได้ คลิปนี้น่าทึ่งมากจริงๆ ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=_AUocmTZh_8
4> Oscar และ Helena สุนัขพันธุ์ทาสองตัวที่มีอาศัยอยู่ในบ้านร้าง มีอาการป่วยด้วยโรคผิวหนังอย่างร้ายแรงจนจนร่วงทั้งตัว กระทั่งมีทีมช่วยเหลือไปพบและเริ่มรักษาอาการของพวกมันทั้งสองจนกลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับครอบครัวใจดีที่รับมันเข้าไปเป็นสมาชิกใหม่ในบ้าน
5> Theia สุนัขที่ถูกเจ้าของทิ้งและขังลืมเอาไว้ในกรงแคบๆ จนผอมและแทบจะเอาชีวิตไม่รอด พร้อมทั้งมีอาการบาดเจ็บและหมัดเต็มตัว หลังได้รับการช่วยเหลือและรับการรักษาอย่างใกล้ชิดอยู่ 2 เดือน ตอนนี้เธียกลับมาวิ่งได้และร่าเริงสดใสอีกครั้ง รอวันที่จะมีบ้านของคนใจดีเปิดรับเข้าเป็นสมาชิครอบครัว
เมนูยอดฮิตประจำมื้ออาหารสำคัญอย่าง สเต็ก นั้นมีความลับ ในการทานซ่อนอยู่!? วันนี้เราจึงนำเสนอเคล็ดลับในการทานที่จะทำให้สเต็กในจานของคุณพิเศษยิ่งขึ้น
– พักเนื้อที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ 3-5 นาที ก่อนเริ่มทาน! อย่าเพิ่งรีบทานขณะสเต็กมาเสิร์ฟใหม่ๆ เพราะการหั่นชิ้นเนื้อขณะร้อนๆ จะทำให้สูญเสียความชุ่มฉ่ำชองน้ำในเนื้อไวเกินไปและเสียรสชาติได้
– สเต็กหมักเกลือทะเลจะเนื้อนุ่มป็นพิเศษ เพราะกระบวนการในการย่อยสลายเนื้อช่วยให้เนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำขึ้น โดยหมักตามชั่วโมงความหนาของเนื้อ เช่นเนื้อหนา 1 นิ้ว ให้หมักเกลือทะเล 1 ชั่วโมง ล้างออก แล้วนำไปปรุง
– ความหนาของเนื้อรสชาติเยี่ยมควรอยู่ที่ 2 ถึง 2.5 นิ้ว เพื่อคงรสชาติและความชุ่มฉ่ำของเนื้อขณะปรุงไว้ได้
– สั่งเนื้อบ่มแห้ง เพราะมันคือที่สุดของเมนูสเต็ก ด้วยการบ่มเนื้อไว้ในห้องเย็น 2-4 สัปดาห์ เนื้อบ่มแห้งจะมีรสชาติและกลิ่นเฉพาะที่โดดเด่นกว่าปกติมากๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่หนักอยู่พอตัว
– ระดับความสุกของเนื้อที่ทานแล้วมีความสุขที่สุดคือ ระดับ Mediam-rare เพราะสามารถคงรสชาติและความฉ่ำของเนื้อไว้ได้ดีที่สุด
– 5 ชนิดเนื้อที่จัดว่ารสชาติ(และราคา)เด็ดมากที่สุดเรียงลำดับจาก Porterhouse > T-Bone > Rib eye > Strip loin > Tenderloin ต้องลองให้ครบทั้ง 5 ชนิด
– เคี้ยวช้าลง…สัมผัสรสชาติให้มากขึ้น ทั้งเนื้อและซอสแต่ละคำมีรสชาติที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเคี้ยวให้ช้าและเคล้ารสชาติให้ทั่วทุกปุ่มรับรสบนลิ้นคือวิธีที่สร้างอรรถรสออกมาได้มากที่สุด
รู้หรือไม่?
– น้ำมันถั่วลิสง คือน้ำมันที่เชฟสเต็กเลือกใช้ในการปรุงเพราะมีจุดเดือดสูงและให้รสชาติที่ดีกว่าน้ำมันทั่วไป
– เนื้อส่วน Sirloin และ Tenderloin ของสเต็กมีไขมันน้อยมากเทียบเท่ากับอกไก่ปริมาณใกล้เคียงกัน เหมาะกับคนรักสุขภาพ
– สเต็กเนื้อแบ่งเป็น Grass-fed และ Grain-fed ซึ่งแบบ Grass-fed จะให้รสชาติที่ดีกว่าและมี Omega3 สูงกว่า แต่ค่อนข้างหายากและผลิตในบางประเทศเท่านั้น
แนะนำร้านสเต็กและโปรโมชั่นสุดคุ้ม
1 ร้านเลอเบอฟ Le Boeuf ตั้งอยู่ถนนหลังสวน สเต็กแอนด์ฟราย สูตรดั้งเดิมแบบฝรั่งเศส ขึ้นชื่อด้วยซอสระดับตำนานอย่าง Cafe’ de Paris เนื้อนุ่ม หวาน ฉ่ำ รสชาติติดลิ้นทานได้เพลินๆ พิเศษเมื่อซื้อ Giftcard กับ Socialgiver ในราคา 700 บาท สามารถทานได้ในราคา 850 บาท คุ้มค่าสุดๆ
2 ร้านนีลส์ เทเวิร์น Neil’s Tavern ร้านสเต็กแอนด์ซีฟู๊ดที่ถูกขนานนามว่าอร่อยที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยเนื้อเกรดสูง คุณภาพเยี่ยมกับเทคนิคการย่างเฉพาะตัว สร้างเนื้อสัมผัสนุ่มและฉ่ำอย่างดีเยี่ยมให้กับเนื้อ พร้อมทั้งรักษาความมันและกลิ่นหอมเฉพาะของเนื้อแต่ละชนิดได้ดี พิเศษเมื่อซื้อ Giftcard กับ Socialgiver ในราคา 800 บาท สามารถทานได้ในราคา 1000 บาท <เฉพาะสาขาซอยร่วมฤดู ถนนวิทยุเท่านั้น>
ฤดูร้อนในเมืองไทย เป็นอะไรที่ร้อนจนแทบไม่อยากออกไปไหน ทั้งอากาศที่ร้อนจัด ทั้งเหงื่อไหลไคลย้อย หลายคนจึงนอนแผ่อยู่บ้านทั้งที่เบื่อๆ อย่างนั้น แต่อย่าปล่อยให้ความเบื่อหน่ายครอบครองวันหยุดของคุณไปทั้งอย่างนั้น ออกไปทำกิจกรรมซะหน่อยสิ รับรองว่าคุณจะสนุกจนลืมความร้อนกันเลย!
เข้าคลาสคืนความฟิตอย่างมีชีวิตชีวา
เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟิน(ฮอร์โมนแห่งความสุข) นอกจากนี้ยังช่วยในการหลังฮอร์โมนสำหรับการเผาผลาญไขมันอย่างคอร์ติซอล เพิ่มการหลังอิพิเนฟรินและนอร์อิพริเนฟรินเพื่อช่วยในระบบไหลเวียนโลหิต และอื่นๆ สมัยนี้มีสตูดิโออกกำลังกายในร่มมากมาย ทั้งคลาสโยคะ พิลาทิส ต่อยมวยและกิจกรรมเข้าจังหวะสนุกสนานต่างๆ ทั้งเสริมสุขภาพและได้เข้าร่วมกลุ่มสังคมใหม่ๆ ผ่านการออกกำลังกายในร่ม ลองเข้าคลาสสนุกๆ อย่างที่ Ommo Studio หรือ P60 Urban boot camp ทั้งเดินทางสะดวกและมีคลาสออกกำลังกายหลากหลายเลือกช่วงเวลาได้ให้เหมาะสมกับตัวคุณ
หนีร้อนไปโต้คลื่นกลางกรุงดีกว่า
อากาศแบบนี้จะหนีไปทะเลก็ได้ แต่ถ้าเดินทางไม่ไหวมาโต้คลื่นในเมืองนี่หละอย่างการมองลองเล่นที่ Flow house ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์นี่เอง การโต้คลื่นเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตที่สนุกสนาน ตื่นเต้นและเย็นสบาย แถมยังเป็นการเตรียมพร้อมให้คุณได้ไปโต้คลื่นจริงๆ ที่ชายหาดขึ้นชื่อในการโต้คลื่นของไทยอย่าง หาดป่าตอง และหาดกะตะ จังหวัดภูเก็ตซึ่งมีนักทองเที่ยวนิยมไปเล่นโต้คลื่นกันอย่างหนาแน่นทุกปี สำหรับขาเอ็กซ์ตรีมต้องเล่นกิจกรรมนี้เท่านั้น!
นอนพักเฉยๆ ก็จอยได้เหมือนกัน ให้รางวัลกับตัวเองซะหน่อย
หากสู้ความร้อนไม่ไหวจริงๆ ร่างกายไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน ก็เพียงแค่ขยับตัวสักนิด เปลี่ยนที่นอนสักหน่อย มาลองให้หมอนวดมือดีนวดผ่อนคลายร่างกายยืดเส้น คลายความเมื่อยล้าจากกการทำงานของคุณอย่างที่ Perception blind massage เดินทางง่ายๆ ใกล้ Bts ช่องนนทรี หรือจะลองไปตรวจเชคสุขภาพร่างกายที่ Fixme Physiotherapy Clinic เพื่อดูว่าตอนนี้ร่างกายกำลังต้องการการบำบัดฟื้นฟูตรงไหนบ้าง เพราะร่างกายก็ต้องได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ให้สมบูรณ์แข็งแรงพร้อมลุยกับทุก lifestyle อยู่เสมอ
หัวหินเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อที่ใกล้กับกรุงเทพฯ เพียง 230 กิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติก็มักจะมาพักผ่อนเพราะที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งในตัวเมืองและตามธรรมชาติ วันนี้เราจึงขอนำเสนองานเทศกาลที่จะช่วยให้การไปหัวหินของคุณพิเศษยิ่งขึ้นกว่าเดิม
1. เทศกาลเก็บเกี่ยวองุ่น Hua Hin Hills Vindyard
รสชาติเปรี้ยวอมหวาน กับกลิ่นหอมของผลองุ่นสดพร้อมรับประทานกันสดๆ จากต้น เทศกาลกินองุ่นนี้จะจัดใน ช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนไปจนถึงสิ้นเดือน โดยที่ไร่องุ่น Hua Hin Hills แห่งนี้จะพาทุกท่านเข้าไปอยู่ในสวนองุ่นจริงๆ และชิมผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่นอีกมากมาย โดยมีไวน์ขึ้นชื่อย่าง “มอนซูน แวลลีย์ไวน์ (Monsoon valley wine)” และนอกจากนี้ ที่นี่ยังมีบรรยากาศที่เรียกได้ว่าโรแมนติกเป็นที่สุดแห่งนึงในหัวหินอีกด้วย
2. เทศกาลทุเรียนป่ละอู
ทุเรียนถูกกล่าวขานให้เป็นราชาแห่งผลไม้เมืองไทย ด้วยสีสัน รสชาติและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ และในหมู่ราชาผลไม้ก็ยังมีทุเรียนป่าละอูที่คอทุกเรียนต้องมาลองกันให้ได้เพราะที่นี่ใช้การปลูกแบบปลอดสารพิษ เนื้อทุเรียนที่ได้จึงหอม หวาน มัน กรอบและเนียน กว่าที่อื่น งานเทศกาลทุเรียนป่าละอูจัดขึ้นในช่วงต้นเดือน จนถึง กลางเดือนกรกฎาคม ไม่เพียงแต่ทุเรียนเท่านั้นในงานยังมีผลไม้ต่างๆ ทั้งเงาะ มังคุด กล้วย และอื่นๆ มากมาย
3. เทศกาลอาหารหัวหิน
และที่สุดของเทศกาลที่นักกินทั่วทิศต้องมารวมตัวกัน นั่นคือ เทศกาลอาหารหัวหิน งานนี้ที่รวมเอาอาหารทะเลสดๆ อาหารคาวหวานเลื่องชื่อ ไก่ย่างสูตรเด็ดและเมนูต่างๆ มากมายมาเสิร์ฟกันถึงที่ ด้วยฝีมือการปรุงจากชมรมเชฟชะอำ-หัวหิน ที่มารวมตัวกันในงานนี้เพื่อรังสรรค์เมนูรสเด็ด ให้กับทุกคนอย่างทั่วถึง งานนี้จัดในช่วงเดือนสิงหาคม ของทุกปี เตรียมท้องให้ว่างแล้วไปลุยกับของกินมากมายในงานกันเลย
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.tiewpakklang.com
กินจนพุงกางก็ถึงเวลาพักผ่อน เราขอแนะนำโรงแรมที่จะทำให้คืนพักผ่อนจากทริปการกินของคุณสมบูรณ์แบบที่สุด
โรงแรมวีรันดา หัวหิน Veranda Resort Hua Hin
บูทีครีสอร์ทติดทะเล เติมเต็มไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัวด้วยการตกแต่งที่แตกต่างผ่านศิลปะเอเชียร่วมสมัย พร้อมบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครับครัน โดดเด่นที่สุดด้วยวิวติดทะเลที่จะทำให้ช่วงเวลาชมพระอาทติย์ขึ้นหรือยามตะวันตกดินของคุณสวยงามเป็นที่สุด
เดอะร็อคหัวหิน บีชฟร้อน สปา รีสอร์ท The Rock Hua Hin Beacfront Spa Resort
ที่พักขึ้นชื่อที่มีหาดส่วนตัวของรีสอร์ท สวยงามด้วยการตกแต่งแบบทันสมัย ให้คุณได้พักผ่อนและผ่อนคลายทุกอิริยาบถเต็มที่ พร้อมกับสระว่ายภายในขนาดใหญ่ให้บริการ คุณสามารถแช่น้ำชิลๆ พร้อมกับชมวิวพาโนรามาของทะเลหัวหิน รับลมทะเลเย็นๆ และบรรยากาศห้องพักแบบส่วนตัว ที่ใครๆ ต่างก็หลงรักที่นี่
“เมื่อความต้องการพิเศษ…นำมาซึ่งสายสัมพันธ์ที่พิเศษกว่าของคนในครอบครัว”
…..เรื่องราวของคุณล้วนและน้องซันซัน ผู้รับการบำบัดด้วยศาสตร์วอยต้าและมุมมองของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
” ค่ะ ก็ประกอบธุรกิจส่วนตัวมาก่อน ตอนที่มีน้องและรู้ว่าน้องเป็นเด็กพิเศษก็พยายามหาวิธีรักษาต่างๆ เท่าที่หาได้ อย่างแรกเลยคือน้องซันซันมีพัฒนาการช้า ยังชันคอไม่ได้ตามเกณฑ์อายุ ช่วงนั้นใครบอกที่ไหนดี ที่ไหนได้ผลเราไปมาหมด…แต่ก็ยังไม่ได้ผลกับน้องเท่าไหร่ กระทั่งได้พบคุณวอลเตอร์ ลี(ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ซาย มูฟเม้นท์) จึงติดต่อขอคำแนะนำและเริ่มการบำบัดด้วยวอยต้าค่ะ ”
> ช่วยเล่าความท้าทายในฐานะของคนเป็นแม่และดูแลน้องเป็นอย่างไร
” ในตอนนั้นกังวลมาก ไม่รู้ว่าอาการของลูกเราเป็นอะไรบ้าง จะเป็นเท่านี้หรือจะหนักไปมากกว่านี้ แล้วยังมีอาการที่มาพบภายหลัง อย่าง ซันซันมีอาการ Facial Palsy คือน้องกะพริบตาไม่ได้ เราก็ต้องดูแลใกล้ชิดมากกว่าเดิม หากไม่ดูแลน้องอาจถึงขั้นตาบอด ซันซันมีอาการหลายอย่างต้องดูแลหลายส่วน ตัวเราเองก็อยากให้น้องดีขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ยากมากคือการตัดสินใจว่าจะรักษาน้องแบบไหน เพราะไปแต่ละที่ก็รักษาต่างกัน อย่างตอนที่มาคลินิค วอยต้า หมอก็บอกให้เราหยุดรักษาแบบอื่นและมาเริ่มต้นใหม่เลย ตอนนั้นนับว่าเสี่ยงและตัดสินใจยากมากๆ ค่ะ”
> แล้วช่วงนั้นตัดสินใจบำบัดแบบวอยต้าแล้ว เป็นอย่างไร?
” น้องซันซันมีกลุ่มอาการ Mobius Syndrome คือมีอาการซ้อนกันหลายอย่าง ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าทำงานได้ไม่เต็มที่ และยังมีปัญหากับระบบประสาทดวงตาและการทรงตัวต่างๆ ร่วมกัน แต่พอได้ลองมาบำบัดวอยต้า น้องมีอาการดีขึ้นมาก น้องให้ความร่วมมือในการบำบัดอย่างดี ทำให้เราแม่ลูกได้ใช้เวลาด้วยกัน อย่างการฝึกภาษามือก็เริ่มต้นเรียนไปด้วยกันค่ะ”
> ในเวลานั้น มูลนิธิ ซาย มูฟเม้นท์ ให้ความช่วยเหลือและดูแลอย่างไรบ้าง?
“มูลนิธิ ซาย มูฟเม้นท์ ช่วยได้เยอะมาก อย่างการที่เรามีซันซันก็ทำให้พี่เปลี่ยนมุมมองนะ รับรู้ได้ว่าทุกคนยินดีช่วยเหลือเรา มันเป็นพลังบวกที่ส่งต่อกันเป็นทอดๆ ทั้งกับกลุ่มผู้ปกครองเด็กพิเศษหรือกับกลุ่มอาสาสมัครที่มาช่วย”
> วิธีการบำบัดแบบวอยต้าได้ผลลัพธ์อย่างไรกับน้องซันซัน?
” เทียบกับวิธีอื่นที่เคยใช้มา พี่ว่า วอยต้า ทำให้เห็นพัฒนาการของซันซันที่ดีขึ้นมาก แต่เราก็ต้องมีวินัยและใช้เวลาในการบำบัดเหมือนกัน อย่างตอนที่บำบัดจนน้องนั่งได้นี่ใช้เวลา 1 ปีเลยนะ จากแต่ก่อนที่น้องชันคอยังไม่ได้จนน้องมานั่งได้ คนเป็นแม่ก็ดีใจที่ได้เห็นลูกเราดีขึ้น จุดเด่นของตัววอยต้าอยู่ที่การใช้ “มือและหัวใจ” นักกายภาพบำบัดจะสอนวิธีบำบัดให้ผู้ปกครองแล้วเราก็ต้องทำหน้าที่บำบัดระหว่างที่จะมาหานักบำบัดอีกครั้ง พอเรากดบำบัดร่างกายน้องก็จะเป็นการกระตุ้นระบบประสาทให้จดจำไปพร้อมกัน ทำให้น้องสามารถเคลื่อนไหวตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ”
> คุณล้วนมีคำแนะนำหรืออยากฝากอะไรถึงผู้ปกครองที่มีน้องเป็นเด็กพิเศษบ้าง?
” อย่างแรกเลยคือผู้ปกครองต้องไม่เปรียบเทียบ ไม่เทียบก็ไม่ทุกข์ ลูกเราเป็นแบบนี้ เราอยากให้เขาเติบโตไปในทิศทางไหนก็กำหนดให้ชัดเจน แล้วค่อยๆ ทำไปตามทางนั้น มองในอีกมุมว่าอย่างน้อยน้องก็ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่หนีเราไปไหน ทำให้เกิดความสุขอีกแบบ เราก็ได้เติบโตไปพร้อมกับลูก ถ้าเราหยุด ก็เท่ากับว่าเขาหยุดที่จะเติบโตเช่นกัน สำคัญที่สุด “เด็กไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองด้อย ถ้าเราไม่ทำให้เขารู้สึกด้อย” ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ส่งต่อกันได้ ถ้าคนเป็นพ่อ เป็นแม่ยังรับลูกตัวเองไม่ได้ แล้วใครจะรับได้ ภูมิใจในสิ่งที่ลูกเป็นและทำให้เขามีความสุขมากที่สุดค่ะ”
Socialgiver ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆ และการแบ่งปันประสบการณ์จาก คุณล้วน (คุณกรวรา อัศวลาภนิรันดร) คุณแม่ของน้องซันซัน และ ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการมูลนิธิ ซาย มูฟเม้นท์
วอยต้า (Vojta) ศาสตร์บำบัดทางเลือก ความหวังใหม่สำหรับเด็กและผู้มีปัญหาในการเคลื่อนไหว
> การบำบัดแบบวอยต้า (Vojta Therapy) คืออะไร?
ในการเรียนการบำบัดวอยต้ามีรายละเอียดเยอะค่ะ คนที่เรียนได้จะต้องเป็นนักกายภาพบำบัดและมีประสบการณ์ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งการบำบัดนี้จะมีการวาง Pattern ให้ร่างกายเกิดการเรียนรู้ในการเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ ให้ร่างกายสามารถจดจำรูปแบบของการเคลื่อนไหวได้ เมื่อร่างกายและระบบประสาทเรียนรู้แล้ว อย่างเด็กที่มีปัญหาการเคลื่อนไหว เด็กจะสามารถอยู่ในท่าทางนั้นๆ ได้อย่างอัตโนมัติค่ะ แต่ในช่วงการบำบัดแรกๆ เด็กอาจยังไม่เข้าใจ อาจมีการกลัวและเกิดร้องไห้ได้ ซึ่งต้องอธิบายว่าการบำบัดนี้ไม่ใช่การทำให้เด็กเจ็บแต่แค่ทำให้กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ทำงานเกิด Reflex เท่านั้น
> ในการบำบัดแต่ละสัปดาห์ ต้องคอยฝึกย้ำๆ หรือเปลี่ยนท่าทางในการบำบัดเลย?
จริงๆ การรักษาด้วยวิธีนี้ เราต้องมีการประเมินทุกครั้งก่อนรักษา ถ้าหากมีปัญหา ต้องดูว่าเป็นปัญหาส่วนไหน วิเคราะห์เป็นส่วนๆ ไปเลย เช่นว่า ณ ตอนนี้ยังเป็นปัญหาเดิมอยู่ก็อาจต้องใช้ท่าเดิมค่ะ แต่ถ้าไม่มีปัญหาเดิมแล้วก็เปลี่ยนท่าได้ ศาสตร์วอยต้ามีท่าทางสำหรับกดบำบัดเยอะนะ นับดูก็มากกว่า 12 ท่าเลยค่ะ โดยแต่ละท่าก็จะมีรายละเอียดในการใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยเน้นการทำงานของร่างกายร่วมกัน ไม่ใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง อย่างเด็กจะชันคอก็ต้องให้เด็กฝึกกล้ามเนื้อช่วงตัว กล้ามเนื้ออกและช่วงคอด้วย เขาถึงจะสามารถชันคอขึ้นมาได้ เป็นต้น
> ช่วยเล่าตัวอย่างของน้องที่บำบัดด้วยวอยต้าแล้วได้ผล แล้วน้องเป็นอย่างไรบ้าง?
จะมีเคสนึงที่ฝึกตั้งแต่กบเริ่มวอยต้าทำจนถึงปัจจุบัน ก็สองสามปีแล้ว พอได้ทำแล้วน้องเห็นผล คือน้องสามารถขยับและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็ให้ความร่วมมือในการทำการบำบัดร่วมกับเรา จากที่น้องเดินไม่ได้เลย จนตอนนี้สามารถเดินไปไหนมาไหนเองได้แล้ว สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเองค่ะ กบว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากๆ ทั้งเรา ทั้งครอบครัวน้องก็ดีใจที่ได้เห็นพัฒนาการตรงนี้
>การบำบัดวอยต้าใช้เวลาเท่าไหร่ที่ร่างกายของผู้บำบัดถึงจะจดจำการเคลื่อนไหวได้?
ผลลัพธ์ก็ขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายนะคะ เพราะนักบำบัดก็ทำได้ส่วนหนึ่ง ผู้ปกครองต้องให้ความร่วมมือในการกดและบำบัดต่อเมื่ออยู่บ้าน ถ้าไม่ทำเลยมันก็ไม่เห็นผล และอีกอย่างคือตัวน้องเองก็ต้องพยายามด้วย หากเด็กเข้าใจและสามารถช่วยเหลือผู้ปกครองได้เพิ่ม ก็จะยิ่งส่งผลดีมาก อย่างน้องบางคนบอกผู้ปกครองได้เลยนะว่ากดผิด กดตรงนี้แล้วไม่รู้สึกให้เปลี่ยนตำแหน่ง อะไรแบบนี้ค่ะ ถ้าถามว่านานแค่ไหนก็ต้องอยู่ที่ว่าการบำบัดนั้นเสถียรหรือยัง ซึ่งใช้เวลาแต่ละเคสไม่เท่ากัน คำว่าเสถียรนี้คือทำแล้ว น้องไม่กลับไปจุดเดิมอีกแม้จะไม่ได้บำบัดต่อ ถ้าทำถึงจุดที่น้องไม่ต้องมาคอยกระตุ้นซ้ำเมื่อไหร่ นั่นก็แปลว่าร่างกายน้องจดจำการเคลื่อนไหวได้แล้วค่ะ
>ถ้ามีนักบำบัดวอยต้าเพิ่มขึ้น จะดีมากน้อยแค่ไหน?
จริงๆ อยากให้ทุกคนได้รับรู้นะ วอยต้าไม่ได้มีประโยชน์แค่กับเด็ก ศาสตร์นี้ใช้ได้กับคนทุกวัย เพราะคนที่คิดเป็นหมอระบบประสาท จึงสามารถใช้วอยต้าแก้ได้ทั้งระบบประสาทและระบบกล้ามเนื้อ คือสามารถทำได้และช่วยให้คนไข้ประหยัดเพราะใช้อุปกรณ์ไม่มาก คนไข้เข้าถึงการรักษาเพิ่มมากขึ้น ถ้ามีเยอะก็ดี ซึ่งตอนนี้นักบำบัดวอยต้ารุ่นนึง มี 25 คน ก็อยากให้มีการเปิดอบรมเพิ่มค่ะ
Socialgiver ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆ และการแบ่งปันประสบการณ์จาก คุณกบ (คุณวันทนี ทองผิว) นักกายภาพบำบัดจากคลินิควอยต้าแห่งแรกในประเทศไทยที่สถาบันราชานุกูล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Zy Movement Foundation ให้ได้รับการอบรมที่ประเทศเยอรมันนีในปี 2558
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการ Zy Movement ที่ http://bit.ly/2fyKLxW
นอกจากอากาศที่ร้อนขึ้นแล้ว Climate Change ยังเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมาย ในปี 2018 โลกสูญเสีย 6.7 ล้านล้านบาท โดยมีคนกว่า 60 ล้านคนรับผลกระทบจากภัยพิบัติเหล่านั้น…
“IKIGAI” – The Japanese secret to a long and happy life
หลายคนที่ประสบความสำเร็จนั้นมักจะรักในสิ่งที่ตัวของเค้าทำ อยากเรียนรู้และทำให้ดีขึ้นในทุกๆวัน
แมัว่าจะมีความเครียดบ้างแต่เป็นความเครียดเพื่อเป็นแรงผลักดันให้หาวิธีการเดินไปข้างหน้า ไปยังเป้าหมายใหม่ๆ ที่สนุกขึ้นท้าทายขึ้น
.
IKIGAI (อิคิไก) คือ ศาสตร์ที่ช่วยไขข้อข้องใจว่าเหตุผลในการตื่นมาใช้ชีวิตของเราในทุกๆ วัน นั้น คืออะไร หรืออีกนัยยะคือความหมายในการมีชีวิตอยู่นั่นเอง ซึ่ง IKIGAI นี้เป็นสิ่งซ่อนอยู่ภายในตัวเรา ซึ่งต้องใช้ความพยายามและความอดทนในการค้นหามันให้เจอ
.
และนี่เป็น กฎ 10 ข้อของ IKIGAI ศิลปะในการใช้ชีวิตที่ Socialgiver อยากจะแบ่งปันให้ทุกท่านได้ร่วมค้นหาไปด้วยกัน
1) Stay active; don’t retire กระตือรือร้นกับชีวิตแบบไม่มีวันเกษียณ
เรียนรู้และตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ต่างๆ ในโลก รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่าต่อชีวิตตนเอง ทำหน้าที่ตนเองให้ดีที่สุด มีความก้าวหน้าทุกๆวัน และชื่นชมสิ่งดีๆ รอบตัว
2) Take it slow ทำอะไรให้ช้าลง
เอ๊ะ!! อย่าเพิ่งงง ว่าขัดกับข้อแรกมั๊ย ที่จริงแล้วคือการคิดใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ก่อนลงมือทำ มีวิสัยทัศน์และแผนงานที่ดีก่อน ว่าหากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้นบ้าง ไม่ใช่กระตือรือร้นจนลนแบบทำอะไรรีบๆ ไม่ได้มองภาพใหญ่ระยะยาว
3) Don’t fill your stomach อย่ากินให้อิ่มเกินไป
หากอยากมีสุขภาพดี อายุยืน ต้องใช้กฎ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เรียกว่า hara hachibu คือให้หยุดกินทันทีเมื่อรู้สึกอิ่มแล้ว หรือคิดเป็นปริมาณ 1,200 – 1,500 แคลเลอรีต่อวันเท่านั้น โดยเน้นอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นกลุ่มผักและผลไม้สดทั่วๆ ไป
4) Surrounding yourself with good friends แวดล้อมด้วยเพื่อนดีๆ
เพื่อนคือยาที่ดีที่สุด การได้รับฟัง พูดคุย แบ่งปันทุกข์สุขกันกับเพื่อนๆ ให้คำแนะนำกันบ้าง หัวเราะขำขันกันบ้าง ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง ทำให้ชีวิตของเรามีชีวาขึ้นทุกๆ วัน ซึ่งจากงานวิจัยหลายที่ต่างให้ข้อมูลตรงกันว่า ความสัมพันธ์ที่ดี นำไปสู่สุขภาพจิตที่ดีและทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายนั้นดีขึ้นอีกด้วย
5) Get in shape for your next birthday ฟิตร่างกายให้ดีต้อนรับวันเกิดปีหน้า
ร่างกายก็ต้องการได้รับการดูแลบำรุงรักษา คล้ายเครื่องยนต์ที่หากใช้งานทุกวันก็ต้องเสื่อมไปบ้างเป็นธรรมดา การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วยังผลิตฮอร์โมนเพื่อช่วยทำให้เรามีความสุขอีกด้วย
6) Smile ยิ้มเข้าไว้
การยิ้มทำให้จิตใจผ่อนคลายแล้วยังช่วยทำให้เรามีเพื่อนเพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ เพราะกลไกทางจิตใจเรามีระบบจดจำความรู้สึกอัตโนมัติ (Facial expression effect) ที่ทำให้เรารับรู้ว่าหากเรายิ้ม อารมณ์เราจะดีขึ้น
7) Reconnect with nature เชื่อมต่อกับธรรมชาติ
เดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนตามแหล่งธรรมชาติต่างๆ เช่น ทะเล ภูเขา น้ำตก เพื่อชาร์ตแบตเตอรี่เพิ่มพลังงานให้ตัวเองอยู่เสมอๆ เพราะเราต่างเชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและโลกใบนี้ การได้รับออกซิเจนที่มากพอ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ คือความสุขโดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน
8) Give thanks ขอบคุณในสิ่งที่เรามี
ความรู้สึกขอบคุณและกตัญญูต่อบุคคลและสิ่งต่างๆ เริ่มตั้งแต่บรรพบุรุษ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อาหาร และสิ่งที่เรามี จะทำให้เรารู้สึกโชคดีที่ได้มีชีวิตอยู่และจะยิ่งเพิ่มพูนความสุขให้เราในทุกๆ วัน
9) Live the moment อยู่กับปัจจุบันขณะ
หยุดเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและกลัวหรือกังวลสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต “วันนี้” และ “ขณะนี้” คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคุณ!! ใช้มันให้ดีที่สุดให้เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าและน่าจดจำ เพราะว่าเวลาเป็นสิ่งที่ผ่านมาและผ่านเลยไป เอาคืนไม่ได้และหาเพิ่มก็ไม่ได้เช่นกัน
10) Follow your IKIGAI จงออกตามหา IKIGAI ของคุณ !
มนุษย์ทุกคนมีความรักความหลงใหลและพรสวรรค์บางอย่างอยู่ในตัวเรา ที่จะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความหมายในทุกๆ วัน และขับเคลื่อนชีวิตเราไปข้างหน้าจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต หากคุณยังหา IKIGAI ของคุณไม่เจอก็ไม่เป็นไร ภารกิจของคุณก็คือ “ออกตามหามันซะ!!”
ที่มา World Economic Forum
กระแส Social Enterprise หรือ กิจการเพื่อสังคมในขณะนี้กำลังมาแรงสุดๆ ด้วยรูปแบบธุรกิจที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพสินค้าและการช่วยเหลือสังคมในเวลาเดียวกัน เพื่อไม่ให้เป็นการตกเทรนด์ เราจึงขอพาคุณไปทำความรู้จักกับกิจการเพื่อสังคมรุ่นใหม่ไฟแรงที่จะช่วยให้คุณได้เป็นผู้นำเทรนด์ในการใช้จ่ายออนไลน์และช่วยเหลือสังคมไปพร้อมๆ กันครับ
Siam organic ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
บริษัทผลิตสินค้าออร์แกนิคเกรดพิเศษในชื่อ Jasberry โดยปราศจากการ GMO หรือสารเคมีในการผลิต ซึ่งมีการส่งเสริมให้เกษตรกรท้องถิ่นในภาคอีสานให้มีรายได้จากการทำการเกษตรอินทรีย์อย่างถูกวิธีไปพร้อมกับการเติบโตของแบรนด์ กิจการเพื่อสังคมที่ดูแลส่งเสริมกันทั้งฝั่งผู้บิรโภคและเกษตรกรอย่างยั่งยืนแท้จริง ชมตัวอย่างสินค้าและเรื่องราวของ Siam organic เพียงกดอ่านรายละเอียดตรงนี้ได้เลย
Bright Sprout โครงการต้นกล้าสดใส ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
หนึ่งในกิจการที่ได้รับรางวัลจากโครงการ “กล้าใหม่…สร้างสรรค์ชุมชน ปี 9 ” โดย SCB Challenge ซึ่งน้องๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลล้านนา ลำปาง ที่ออกแบบแปลงผักและช่วยเหลือผู้พิการให้สามารถสร้างรายได้และนำไปขายเป็นผักปลอดสารพิษ ส่งเสริมอาชีพและสร้างตลาดแรงงานให้กับผู้พิการทางสายตาให้สามรถทำงานและสร้างรายได้ด้วยตนเอง มารับชมวิดิโอบอกเล่าเรื่องราวเจ๋งๆ กันเถอะ
Globish Academia ธุรกิจด้านการศึกษา
Globish Academia ธุรกิจด้านการศึกษา Startup สอนภาษาอังกฤษด้วยอาจารย์ชาวต่างชาติ ผ่านระบบ internet ด้วยโปรแกรมวิดิโอคอลอย่าง Appear.in โดยให้ผู้เรียนสามารถลงเวลาเรียนเองได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เน้นฝึกด้านการฟังและการพูดโดยเฉพาะ และสิ่งที่ยิ่งน่าสนใจคือทาง Globish Academia ได้ทำโครงการเปิดโอกาสให้กับผู้พิการให้ได้เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปสร้างโอกาสในการทำงาน ด้วยระบบการเรียนออนไลน์ที่ไม่ต้องเดินทาง สามารถเรียนได้ที่บ้าน รวมถึงค่าเรียนที่ไม่แพงและมีภาครัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย ทำให้ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาในกลุ่มผู้พิการ เพิ่มโอกาสและความสามารถในการทำงานของผู้พิการ ถ้าสนใจฝึกพูดภาษาอังกฤษออนไลน์กับ Startup ใจดีอย่าง Globish Academia ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ได้เลย
Folkrice ธุรกิจด้านเกษตรกรรม
จากความตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรไทยและรักษาพันธุ์ข้าวท้องถิ่น ของคนหนุ่มไฟแรงอย่างคุณ อนุกุล ทรายเพชร ได้พัฒนาแพลตฟอร์มและแอพพลิเคชั่นสำหรับเชื่อมต่อผู้บริโภคและชาวนาที่เป็นผู้ผลิตโดยตรง โดยผู้บริโภคสามารถเลือกชนิดและพันธุ์ข้าวท้องถิ่นได้ตามต้องการในราคาที่ยุติธรรมกับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อให้ชาวนาสามารถคงพันธุ์ข้าวที่หลากหลายและมีคุณภาพให้กับตลาด อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่นี่ และดาวน์โหลด application: Folkrice ได้ทั้งระบบ iOS และ Android แล้ว
Hivester ธุรกิจด้านท่องเที่ยว
กิจการเพื่อสังคมที่ช่วยชุบชีวิตให้ชุมชนกลับคืนมาอีกครั้ง จากการพยายามฟื้นฟูวิถีท่องถิ่นในชุมชนนั้นๆ อย่างการทำขนมไทย ทำบาตรพระหรือการรำชาตรีที่ค่อยๆ สูญหายไปตามกาลเวลา Hivester(ไฮวฟ์สเตอร์) จึงผลักดันเศรษฐกิจในชุมชนผ่านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีทริปให้ลงไปสัมผัสความเป็นอยู่ ธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวบ้านพร้อมกระจายรายได้ให้กับชุมชนเพื่อเกิดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่สนุกสนานตลอดทริป สนใจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เข้าไปได้เลย
Once again hostel ธุรกิจโรงแรมและที่พัก
ที่พักนักเดินทางที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่า ไม่ไกลจากชุมชนท้องถิ่นที่ยังมีชีวิตชีวา โฮสเทลแห่งนี้ดำเนินการภายใต้แนวคิดธุรกิจเกื้อกูล (Inclusive Business) โดยไม่ทำธุรกิจซ้อนทับกับธุรกิจที่มีอยู่แล้วในชุมชน แต่ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สร้างอาชีพให้แก่คนในชุมชนใกล้เคียง เริ่มจากชุมชนวังกรมพระสมมตอมรพันธ์ ชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนบ้านบาตรและชุมชนนางเลิ้ง ร่วมมือกับชาวบ้านพัฒนาชุมชน มีโฮสเทลเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ทั้งสมาชิกชุมชน นักเดินทางและโฮสเทล ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวร่วมกัน ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่
Local alike ธุรกิจด้านท่องเที่ยว
หนึ่งใน Start up ที่มาแรงมากๆ ด้วยการผนวกการท่องเที่ยเชิงอนุรักษ์เข้ากับการจัดทริปและพัฒนาความเป็นอยู่ของช้าวบ้านในพื้นที่ชุมชน Local alike ได้สร้างเครือข่ายชุมชันและนำพานักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชาวบ้านทั้งการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ กิจกรรมและงานฝีมือต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ผ่านความร่วมมือของชาวบ้าน ให้เกิดเป็นการท่องเที่ยวแบบ Community based ที่ได้ประโยชน์ทั้งชุมชน นักท่องเที่ยวและโครงการที่พัฒนาชุมชนนั้นๆ ติดตามการพัฒนาชุมชนท่องเที่ยวแบบใหม่ได้ที่นี่เลย
Socialgiver ธุรกิจด้านท่องเที่ยว
ปิดท้ายด้วย Socialgiver พื้นที่ออนไลน์มอบประสบการณ์ท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ โดยนำกำไรจากบัตรของขวัญทั้งหมดไปมอบให้โครงการเพื่อสังคมกว่า 15 โครงการที่ร่วมระดมทุน ให้เกิด “การท่องเที่ยวเพื่อสังคม” สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายทั้งธุรกิจ ผู้บริโภคและภาคสังคม ด้วยความตั้งใจในการสร้าง Giving ecosystem ให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างยั่งยืนผ่านการนำเสนอเรื่องราวของโครงการต่างๆ ด้วยสื่ออนไลน์และแนะนำบัตรของขวัญบนเวปไซต์ให้ได้เลือกกันอย่างจุใจมากกว่า 60 ใบ สามารถเลือกบัตรของขวัญดีๆ และติดตามโครงการที่สนใจได้ง่ายๆ ตรงนี้
Credit: เนื้อหา : www.asiaforgood.com/
ภาพประกอบ : www.siamorganic.net , www.globish.co.th , www.folkrice.com , www.hivesters.com , www.onceagainhostel.com , www.localalike.com
คนแบบไหนกันที่มาทำธุรกิจเป็นเจ้าของปางช้าง? อะไรเป็นแรงบันดาลใจของเขา? และอะไรที่เขาต้องการจากการทำธุรกิจนี้?
เราไม่รู้ว่าปางช้างอื่นๆเป็นมายังไง แต่ที่ Elephant Nature Park ปางช้างที่ได้ฉายาว่า “สวรรค์ของช้าง” มีจุดเริ่มต้น และ มีคำตอบของทุกคำถามด้านบน เป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งนั่นคือ “ความรัก”
เป็นความรักของคุณเล็ก หรือ “แม่เล็ก” ของทุกคนในปางช้าง (และของลูกช้างทุกเชือกในปางด้วย) กับหัวใจดวงใหญ่ที่มีให้กับช้าง ที่บาดเจ็บ พิการ จากการถูกใช้งานอย่างทรมาน
เมื่อทนเห็นความทรมานเหล่านี้ไม่ได้ คุณเล็กจึงจัดตั้งมูลนิธิ Save Elephant ขึ้นมาช่วยเหลือช้างบาดเจ็บ และพัฒนาที่ดินที่หาซื้อมาได้ให้เป็นเหมือนบ้านพักของช้าง
ปัจจุบัน บ้านพักฟื้นของช้างพิการและบาดเจ็บ หลังนั้น ก็กลายมาเป็น Elephant Nature Park มีช้างบาดเจ็บและพิการที่ได้รับการรักษาจนสุขภาพแข็งแรง (แต่ความพิการ หรือบาดเจ็บค่อนข้างรุนแรงและถาวร ทำให้ถึงแม้จะหายดีแล้วก็ยังคงมีความผิดปกติ เช่น ตาบอด ขากุดเพราะถูกกับระเบิด กระดูกงอถาวร เป็นต้น) และได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษาวิถีชีวิตของช้าง ทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เป็นการใช้แรงงานช้าง เช่น ป้อนอาหารหรืออาบน้ำให้ช้าง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอาสาสำหรับช่วยดูแลช้าง เช่น ปั้นอาหารให้ช้างแก่ รักษาพยาบาลช้าง เป็นต้น
ภาพที่เห็นได้ทั่วไปในปางช้าง Elephant Nature Park แห่งนี้ คือภาพช้างเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยหุบเขา และมีกลุ่มคนที่เป็นนักท่องเที่ยวและอาสาสมัครเดินตาม เมื่อช้างหยุด กลุ่มคนก็หยุด บางคนพยายามเซลฟี่กับช้าง รูปจะสวยหรือไม่ก็ขึ้นกับว่าเจ้าช้างเชือกนั้นอารมณ์ดีหรือเปล่า บางทีก็ได้ป้อนอาหารช้าง แต่เมื่อช้างอิ่มและออกเดินต่อ กลุ่มคนเหล่านั้นต้องหยุดกิจกรรมป้อนอาหาร และออกเดินตามช้างต่อไป
ที่นี่ ช้าง คือศูนย์กลาง และปรัชญาของการเที่ยวที่ Elephant Nature Park คือการเข้าไปศึกษาชีวิตของช้าง เข้าไปรู้จักช้างในสิ่งที่พวกเขาเป็น ไม่มีการทำกิจกรรมที่มนุษย์บังคับช้าง เช่นการขี่ช้าง หรือการแสดงความสามารถแปลกๆ ของช้างที่ถูกมนุษย์ฝึกมา
แม้กระทั่งควาญช้าง ก็ยังไม่มีอุปกรณ์บังคับช้าง
การดูแลช้างที่นี่ ใช้ควาญช้าง 1 คนดูแลช้างประจำตัว 1 ตัว ภาพควาญช้างที่เราคุ้นเคยคือควาญขี่ช้าง แต่ที่นี่กลับเป็นภาพควาญช้างเดินตามช้าง เรียกว่าช้างอยากไปไหน ควาญช้างก็ต้องตามไป ตอนเย็นก็ต้องต้อนช้างเข้าคอก
ถามว่าถ้าช้างไม่ยอมไปเข้าคอก ทำยังไง?
คำตอบคือ
“รอ ต้องรอ นั่งรอ ยืนรอ จนกว่าคุณช้างจะอยากกลับเข้าบ้านไปเอง”
ความรักของคุณเล็กไม่หยุดแค่ช้าง ตอนนี้ ปางช้างจึงไม่ได้มีแค่ช้างบาดเจ็บ แต่มีควายที่ถูกช่วยมาจากการไถ่ชีวิต สุนัขพิการ ตาบอดบ้าง เหลือสองขาบ้าง สามขาบ้าง ม้าแก่เกษียรอายุที่ไม่มีใครต้องการแล้ว สัตว์ทุกอย่างที่ต้องการที่พักพิงเมื่อเจ้านายผู้ใช้งานเห็นว่าพวกมันหมดคุณค่า
ที่นี่ เมื่อเริ่มจากความรัก จึงเติบโตด้วยความรัก ดึงดูดผู้ที่มีความรักให้มาเยือน ไม่ว่าจะเป็นรักสัตว์ หรือรักคนด้วยกัน เพราะขนาดคู่รัก ข้าวใหม่ปลามัน ยังมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ Honey Moon กันที่นี่เลย คิดดู
สงสัยฝ่ายที่เป็นคนเลือกสถานที่คงอยากจะบอกกับคู่ชีวิตว่า “ฉันรักคุณมากเท่าช้างเลยนะ!”
อยากมาพิสูจน์รักแบบช้างๆ ต้องมาให้ได้ เพราะไม่ใช่แค่ความรักของคนต่อช้าง แต่ที่นี่ยังบอกเล่าเรื่องราวความรักของช้างต่อช้างในระดับชีวิตก็ไม่อาจพรากรักเราจากกันได้ให้เราได้รับรู้ หรือแม้กระทั้ง รักของช้างต่อคนในระดับเดียวกับหมาป่าที่มีให้เมาคลี หรือ คิงคองที่มีให้ทาร์ซาน ก็มีให้เห็น และ สัมผัสได้จริง ที่สวรรค์ของช้างแห่งนี้
Elephant Nature Park ตั้งอยู่ที่ อ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
หากสนใจไปเยี่ยมชม หรือ อยากอาสาสมัครไปดูแลช้าง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.elephantnaturepark.org
By Kanravee Kittayarak
ขอกระซิบบอกก่อนเลยนะคะ ว่ากำไร 100% จากการซื้อ Voucher ที่พักทั้งหมดนี้ Socialgiver จับมือ SERENATA นำไปบริจาคให้โครงการ Protect Our Doctors from COVID-19…
At Socialgiver, we’re always looking for ways to make the biggest impact possible and we’re searching for people with that same life mission to join our journey.
อีกส่วนหนึ่งของ การเดินทาง ที่ทุกคนต่างให้ความสำคัญไม่แพ้จุดหมายปลายทางเลย ก็คือ ที่พัก เพราะเป็นส่วนสำคัญในการเตรียมกายและใจสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น แต่จะมัวนอนพักในบรรยากาศเดิมๆ คงเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้น ที่พักแบบ Camping จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
ให้ความรู้สึกผจญภัยเต็มเปี่ยม
ทุกครั้งที่ได้ตั้งแคมป์ชวนให้ภาพบรรยากาศเหมือนการเข้าค่ายลูกเสือในวัยเด็ก ทุกอย่างดูตื่นเต้น น่าสนุกและยังได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติเป็นพิเศษ ด้วยสถานที่ตั้งรวมทั้งอุปกรณ์ตั้งแคมป์ต่างๆ ที่คุณต้องจัดการเอง เหนื่อยนิดแต่สนุกมาก